แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาด โดยเป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งเป็นหลักประกันขายทอดตลาด เพื่อบังคับชำระค่าปรับเนื่องจากผู้ประกันผิดสัญญาประกันไม่ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามนัดในคดีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น เป็นคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 15 บัญญัติให้อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดไปยังศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งอุทธรณ์พร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยเร็ว โดยมาตรา 5 บัญญัติว่า “ศาลอุทธรณ์” หมายความว่า ศาลอุทธรณ์ซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์ภาค ดังนั้น เมื่อผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาพิพากษาคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1, 102 และศาลจังหวัดพัทยาอนุญาตให้ผู้ประกันประกันตัวจำเลยไปในระหว่างพิจารณา ตีราคาประกันเป็นเงิน 700,000 บาท โดยผู้ประกันนำที่ดินโฉนดเลขที่ 130463 ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ของผู้ประกันมาวางเป็นหลักประกัน ต่อมาผู้ประกันผิดสัญญาประกันไม่ส่งตัวจำเลยตามกำหนดนัด ศาลจังหวัดพัทยามีคำสั่งปรับผู้ประกันเต็มตามสัญญาประกัน แต่ผู้ประกันไม่ชำระเงินค่าปรับ ศาลจังหวัดพัทยาจึงออกหมายบังคับคดีให้ยึดที่ดินอันเป็นหลักประกันเพื่อนำออกขายทอดตลาด โดยมอบหมายให้ผู้ร้องเป็นผู้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์ แต่หลักประกันตั้งอยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม ผู้ร้องจึงมีหนังสือมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีแทน ต่อมาวันที่ 13 ตุลาคม 2558 ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้นนำเจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีจังหวัดนครปฐมยึดที่ดิน อันเป็นหลักประกันแล้วนำขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 โดยผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อได้ในราคา 510,000 บาท
วันที่ 24 พฤษภาคม 2559 ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างว่าผู้ซื้อทรัพย์ซื้อที่ดินอันเป็นหลักประกันโดยสำคัญผิด และเจ้าหนี้ผู้นำยึดมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริงเนื่องจากที่ดินอันเป็นหลักประกันไม่ใช่ที่ดินว่างเปล่า แต่มีสภาพเป็นบ่อน้ำทั้งแปลง ไม่ตรงกับรายละเอียดที่ระบุในรายงานการยึดอสังหาริมทรัพย์และประกาศขายทอดตลาด
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 130463 ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
วันที่ 11 ตุลาคม 2559 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า คดีนี้ศาลจังหวัดพัทยาออกหมายบังคับคดีให้ยึดที่ดินอันเป็นหลักประกันซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม ผู้ร้องในฐานะเจ้าหนี้ตามคำสั่งศาล จึงมอบอำนาจให้ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการประจำศาลชั้นต้นดำเนินการบังคับคดีแทนจนมีการขายทอดตลาดที่ดินอันเป็นหลักประกันไปแล้ว ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำสั่งศาลและเป็นผู้นำยึดที่ดินอันเป็นหลักประกัน ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในการบังคับคดีเอาแก่ที่ดินอันเป็นหลักประกันแต่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดของผู้ซื้อทรัพย์ โดยไม่ได้มีการส่งหมายเรียก หมายนัด เอกสารหรือคำคู่ความใดให้ผู้ร้องทราบ ผู้ร้องทราบว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินอันเป็นหลักประกันโดยไม่แจ้งให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียและได้รับความเสียหายจากคำสั่งศาลชั้นต้น ถือเป็นกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ก่อนไต่สวนศาลได้ส่งสำเนาให้ผู้ประกันและเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ปฏิบัติการบังคับคดีแทนเจ้าหนี้อยู่แล้ว จึงไม่จำต้องส่งสำเนาให้เจ้าหนี้อีก การไต่สวนชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 ทวิ (เดิม) ไม่มีเหตุให้เพิกถอนกระบวนพิจารณา ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของผู้ซื้อทรัพย์ฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2559 โดยให้ศาลชั้นต้นจัดส่งสำเนาคำร้องดังกล่าวให้ผู้ร้องทราบด้วย และดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้รวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้คดีนี้เป็นคดีที่ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดก็ตาม แต่คำร้องของผู้ซื้อทรัพย์เป็นผลสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 130463 ตำบลโพรงมะเดื่อ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระค่าปรับเนื่องจากผู้ประกันผิดสัญญาประกันไม่ส่งตัวจำเลยต่อศาลตามนัดในคดีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนั้น คดีนี้จึงเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดอันอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 ซึ่งมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติว่า “ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 16 คดีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ให้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้คู่ความฝ่ายที่อุทธรณ์ฟัง เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์หรือเมื่อมีการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรีบส่งอุทธรณ์หรือคำร้องเช่นว่านั้นพร้อมสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยเร็ว” โดยมาตรา 5 บัญญัติว่า “ศาลอุทธรณ์” หมายความว่า ศาลอุทธรณ์ซึ่งมิใช่ศาลอุทธรณ์ภาค ดังนี้ เมื่อผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะพิจารณาพิพากษาคดี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิจารณาพิพากษาคดีนี้จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3 กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลชั้นต้นส่งถ้อยคำสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาต่อไป