คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยกับ ช. รู้จักมักคุ้นกันดี ถึงขึ้นไปเที่ยวและดื่มสุราด้วยกัน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าต้องรู้การเป็นอยู่ของกันและกันได้ดีว่ามีฐานะอย่างไร กับบ้านที่ ช.พาจำเลยไปซ่อมรถจักรยานยนต์ก็เป็นบ้านร้างกลางทุ่งห่างชุมชน ทั้งรถจักรยานยนต์ที่จำเลยซ่อมมีสภาพใหม่ ไม่ปรากฏร่องรอยบุบสลายให้เห็นว่าต้องมีการซ่อมแซมตัวถัง อะไหล่ที่วางบนพื้นห้องในบ้านร้างล้วนเป็นอะไหล่ประกอบตัวถังมีสภาพเป็นของใช้แล้วทั้งสิ้น ปุถุชนทั่วไปเมื่อเห็นก็จะรู้ทันทีว่าไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องซ่อมแซมอุปกรณ์ตัวถังรถ เชื่อว่าจำเลยรู้ว่ามีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นเกี่ยวกับอะไหล่ที่กำลังเปลี่ยนอยู่นั้น การที่จำเลยเข้ายึดถืออะไหล่รถจักรยานยนต์ดังกล่าวเพื่อนำมาเปลี่ยนใส่รถจักรยานยนต์ตามความประสงค์ของ ช. ถือได้ว่าจำเลย ได้รับไว้ซึ่งอะไหล่รถจักรยานยนต์อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะลักทรัพย์ เป็นความผิดฐานรับของโจร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำผิดกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยทั้งสองกับพวกรวม 6 คน สมคบกันเพื่อลักทรัพย์รถจักรยานยนต์ของผู้อื่นซึ่งเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และความผิดดังกล่าวมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งอะไหล่รถจักรยานยนต์โดยจำเลยทั้งสองกับพวกรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 210, 357

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคหนึ่ง, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก คนละ 1 ปี 4 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 9 เดือนลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกคนละ 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ” พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จ่าสิบตำรวจนิวัฒน์ นกพ่วง จับกุมจำเลยที่ 1ได้พร้อมกับพวกขณะที่จำเลยที่ 1 กับพวกช่วยกันประกอบอะไหล่ตัวถังรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 4 ล – 1383 พร้อมยึดรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวและอะไหล่รถจักรยานยนต์อีก 19 รายการเป็นของกลาง คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจนิวัฒน์ผู้จับกุมเบิกความว่าก่อนเข้าทำการจับกุมได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่าที่บ้านร้างกลางทุ่งมีวัยรุ่นหลายคนมาทำการเปลี่ยนอะไหล่รถจักรยานยนต์ พยานจึงเดินทางไปดูเหตุการณ์ โดยได้เข้าไปแอบฟังการสนทนาของวัยรุ่นกลุ่มนี้ก็ได้ความว่า อะไหล่ที่ซื้อมาเปลี่ยนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นอะไหล่ของรถจักรยานยนต์ที่ถูกลักมาจากจังหวัดสมุทรปราการ จ่าสิบตำรวจนิวัฒน์จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุม ระหว่างที่ควบคุมตัวจำเลยที่ 1 กับพวกอยู่นั้นได้สอบถามจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 รับว่าอะไหล่รถจักรยานยนต์ที่นำมาประกอบและเปลี่ยนรถจักรยานยนต์คันของกลางนั้นซื้อมาจากจังหวัดสมุทรปราการโดยรู้ว่าเป็นอะไหล่ที่ถูกลักมา ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 คำพยานโจทก์ได้ความดังนี้ เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับนายชาตรีหรือเม้งผู้พาจำเลยที่ 1 ไปเปลี่ยนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของกลางรู้จักมักคุ้นกันดี ถึงขั้นไปเที่ยวและดื่มสุราด้วยกันย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าต้องรู้ความเป็นอยู่ของกันและกันได้ดีว่ามีฐานะอย่างไร บ้านที่เป็นที่ซ่อมรถจักรยานยนต์ก็เป็นบ้านร้างกลางทุ่งห่างชุมชน มิใช่บ้านของนายชาตรี รถจักรยานยนต์คันของกลางมีสภาพยังใหม่ ไม่ปรากฏร่องรอยบุบสลายให้เห็นว่าต้องมีการซ่อมแซมตัวถังเพราะตามภาพถ่ายหมาย จ.5 รถจักรยานยนต์คันนี้แม้วงล้อก็ไม่มีรอยขีดข่วนให้เห็นอะไหล่ที่วางอยู่บนพื้นห้องล้วนแต่เป็นอะไหล่ประกอบตัวถังและมีสภาพเป็นของใช้แล้วทั้งสิ้น ไม่ปรากฏว่าอะไหล่เหล่านี้เป็นของใหม่แกะกล่องแต่อย่างใด ปุถุชนโดยทั่วไปเมื่อเห็นสภาพรถจักรยานยนต์คันนี้ก็จะรู้ทันทีว่าไม่มีความจำเป็นอันใดเลยที่จะต้องซ่อมอุปกรณ์ตัวถังรถ เพราะยังมีสภาพใหม่ดังกล่าวมา ข้อเท็จจริงดังวินิจฉัยมานี้น่าเชื่อว่า จำเลยที่ 1 รู้ว่ามีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นเกี่ยวกับอะไหล่รถจักรยานยนต์ที่กำลังร่วมกันเปลี่ยนอยู่นั้น แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังร่วมกับพวกแกะเปลี่ยนอะไหล่เก่าอื่นแก่รถจักรยานยนต์คันของกลาง เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกรับไว้โดยประการใดซึ่งอะไหล่รถจักรยานยนต์อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะลักทรัพย์อันเป็นการกระทำความผิดตามฟ้อง ที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้คดีมานั้นไม่น่าเชื่อ ไม่อาจรับฟังเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์นำสืบกล่าวอ้างเกี่ยวกับจำนวนผู้กระทำความผิดไม่แน่นอนว่ามีกี่คนกันแน่ ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์แอบฟังอยู่ห่างไกลที่เกิดเหตุ อาจจะไม่ได้ยินการสนทนาของคนร้ายดังอ้างนั้น เห็นว่า เหตุที่พยานโจทก์ประสบเป็นเหตุกระทันหัน เมื่อประสบเหตุการณ์ก็เห็นมีคนเกิน 2 คนในที่เกิดเหตุ พยานโจทก์จึงประมาณเอาไว้เท่านั้น หาเป็นข้อพิรุธไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จ่าสิบตำรวจนิวัฒน์เบิกความว่า ก่อนเข้าทำการจับกุมเห็นจำเลยที่ 1 กับพวกกำลังเปลี่ยนอะไหล่รถจักรยานยนต์กันอยู่ แต่ตามภาพถ่ายหมาย จ.5 กลับไม่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไหล่อะไรเลย แม้คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ปากนายศุภชัย นราพงศ์ก็ไม่อาจยืนยันได้เลยว่ามีการเปลี่ยนอะไหล่อะไรบ้าง จึงเพียงเอาแต่คำรับของจำเลยมารับฟังเท่านั้น เห็นว่าภาพถ่ายหมาย จ.5 เป็นภาพนิ่ง ไม่อาจแสดงลักษณะการเคลื่อนไหวได้ ดังนั้น จึงไม่เป็นพิรุธแต่อย่างใดที่ภาพถ่ายเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการวางชิ้นส่วนอะไหล่ในห้องที่เกิดเหตุ และการที่นายศุภชัยไม่อาจยืนยันได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไหล่อะไรไปบ้างนั้นก็อาจเป็นเพราะอะไหล่รถจักรยานยนต์นั้นมีลักษณะเหมือนกัน ไม่อาจมองความแตกต่างได้ด้วยสายตาตามปกติได้เท่านั้น หาเป็นข้อพิรุธไม่ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าอะไหล่รถจักรยานยนต์อยู่ในความครอบครองของนายชาตรีหรือเม้งตลอดเวลา มิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เพียงช่วยเปลี่ยนให้เท่านั้น จึงหาเป็นความผิดตามฟ้องไม่ เห็นว่า อะไหล่รถจักรยานยนต์ได้นำมาวางไว้ในห้องบ้านร้างมิได้อยู่ในความครอบครองของใครการที่จำเลยที่ 1 เข้ายึดถืออะไหล่รถจักรยานยนต์ที่วางอยู่ในสภาพเช่นนั้นเพื่อนำมาเปลี่ยนใส่รถจักรยานยนต์คันของกลางตามความประสงค์ของนายชาตรีหรือเม้งนั้น ย่อมถือได้แล้วว่าจำเลยที่ 1 รับไว้ซึ่งอะไหล่รถจักรยานยนต์เหล่านั้นด้วย จึงเป็นความผิดตามฟ้อง และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอีกว่า หากจำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดตามฟ้องจริงแล้วจำเลยที่ 1 คงต้องหลบหนีไปแล้ว เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่หลบหนีก็เพราะไม่ได้ร่วมกระทำความผิดนั้น เห็นว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่หลบหนีก็อาจเป็นเพราะว่าจำเลยที่ 1 สำนึกต่อความผิดที่ได้กระทำหรืออาจจะเป็นเพราะกลัวจ่าสิบตำรวจนิวัฒน์ยิงก็เป็นได้ เพราะได้ความว่าในตอนเข้าจับกุมนั้น จ่าสิบตำรวจนิวัฒน์ยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าถึง 2 นัดด้วย ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจชี้ชัดตามฎีกาของจำเลยที่ 1

ส่วนที่จำเลยที่ 1 ขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับพวกกระทำความผิดในลักษณะเป็นแก๊ง มีการมอบหมายหน้าที่กันทำแตกต่างกัน ลักษณะความผิดเป็นเรื่องร้ายแรงและอุกอาจ ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในสังคมเป็นส่วนรวม พฤติการณ์เช่นนี้ไม่สมควรรอการลงโทษให้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share