แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 ฎีกาอ้างว่า ศาลล่างทั้งสองแปลคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง มิใช่ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการสั่งเรื่องการขอทุเลาการบังคับซึ่งเป็นอำนาจแต่ละชั้นของศาล จึงเป็นเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในชั้นบังคับคดีว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ซึ่งไม่มีบทกฎหมายห้ามมิให้ฎีกา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดในต้นเงิน496,396.80 บาท จำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดในต้นเงินไม่เกิน100,000 บาท และดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าว จำเลยที่ 2 ที่ 3ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับรวมเป็นฉบับเดียวกัน ศาลอุทธรณ์สั่งคำร้องว่า ถ้าจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 คนใดคนหนึ่งหรือร่วมกันหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยมีกำหนด 5 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องขอทุเลาการบังคับสำหรับจำเลยที่ 3 จึงต้องพิจารณาจากจำนวนหนี้ของจำเลยที่ 3 ที่จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การแปลคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยนำเอาจำนวนหนี้ของจำเลยที่ 2 ที่ขอทุเลาไว้เป็นภาระตกแก่จำเลยที่ 3 ด้วยนั้น ทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดชอบเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นการแปลที่ไม่ชอบ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่าถ้าจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 คนใดคนหนึ่ง หรือร่วมกันหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พร้อมด้วยดอกเบี้ยมีกำหนด 4 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วทนายโจทก์แถลงว่า จำเลยที่ 3 หาหลักประกันมาวางเฉพาะความรับผิดของตนเท่านั้น ไม่เต็มตามจำนวนตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงขอคัดค้าน
ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 หรือที่ 3 จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มิได้แยกว่าจำเลยที่ 3 จะหาหลักประกันมาวางเฉพาะส่วนของตนเท่านั้น จึงไม่เป็นที่พอใจในหลักทรัพย์และถือว่าคำร้องของจำเลยถูกยกไปตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้คืนหลักประกันของจำเลยที่ 3 คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 3 ฎีกาคำสั่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “กรณีเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 3 ฎีกาอ้างว่า ศาลล่างทั้งสองคำสั่งของศาลอุทธรณ์ไม่ถูกต้อง มิใช่ฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการสั่งเรื่องขอทุเลาการบังคับซึ่งเป็นอำนาจแต่ละชั้นของศาล กรณีจึงเป็นเรื่องที่พิพาทกันเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในชั้นบังคับคดีว่าเป็นไปโดยชอบหรือไม่ซึ่งไม่มีบทกฎหมายห้ามมิให้ฎีกา ปัญหาวินิจฉัยต่อไปคงมีว่าตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 3 มีหน้าที่จะต้องหาหลักประกันสำหรับจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นด้วย หรือหาหลักประกันเฉพาะจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเท่านั้นตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในต้นเงินสองจำนวนรวมเป็นเงิน 496,396.80 บาท จำเลยที่ 3จะต้องร่วมรับผิดในต้นเงินไม่เกิน 100,000 บาท และดอกเบี้ยจากต้นเงินดังกล่าว ความรับผิดของจำเลยที่ 3 ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้น แม้จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2แต่ก็ร่วมรับผิดบางส่วนเท่านั้น มิใช่ร่วมรับผิดในจำนวนหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ทั้งหมด อำนาจในการบังคับคดีต่อทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 284 บัญญัติไว้ว่า “ห้ามไม่ให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเกินกว่าที่พอจะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในคดีและค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี” จากบทบัญญัติดังกล่าว ถ้าจะมีการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 3 ก็จะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ในจำนวนไม่เกินต้นเงิน 100,000 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมในคดีกับค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีคดีนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับไว้แม้คำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จะเป็นคำร้องฉบับเดียวกันโดยทนายความคนเดียวกันก็ตามก็ต้องถือว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่อุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับนั้นเป็นการขอทุเลาในการที่จะต้องถูกบังคับตามหนี้ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่แต่ละคนจะต้องชำระ มิใช่ขอทุเลาแทนกันอันไม่อาจจะทำได้ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งคำร้องขอทุเลาการบังคับของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ว่า “ถ้าจำเลยที่ 2 หรือที่ 3 คนใดคนหนึ่งหรือร่วมกันหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยมีกำหนด 4 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง” คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวนี้ ถ้าจะมีการทุเลาการบังคับตามหนี้ที่กำหนดในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นสำหรับจำเลยคนใดก็ต้องมีหลักประกันมาวางให้คุ้มกับจำนวนหนี้สำหรับจำเลยคนนั้น พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอนาคตตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนด การปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องทุเลาการบังคับจึงต้องพิจารณาจากจำนวนหนี้ของจำเลยที่ 3 ที่จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การแปลคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยนำเอาจำนวนหนี้ของจำเลยที่ 2 ที่ขอทุเลาไว้มาเป็นภาระตกแก่จำเลยที่ 3 ด้วยนั้น เป็นการแปลคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคำสั่งของศาลล่างทั้งสองจึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 3 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับเป็นให้ศาลชั้นต้นรับหลักประกันของจำเลยที่ 3ไว้พิจารณาดำเนินการต่อไป