คำสั่งคำร้องที่ 1990/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาให้โจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาที่ว่า หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3ยังมีผลใช้บังคับอยู่ การลงลายมือชื่อของนายพันธ์ชัย และนายนิสัย ในสัญญาเช่าซื้อจึงเป็นการลงลายมือชื่อแทนโจทก์สัญญาเช่าซื้อจึงไม่เป็นโมฆะ มีผลผูกพันจำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสาม เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกา ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยทั้งสามยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันและแทนกันชำระเงินจำนวน 118,344 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 43)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 45)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีนายศิริเบิกความว่าโจทก์ซึ่งในขณะนั้นมีนายสุรินทร์ และ นาง ลดาวัลย์ กรรมการผู้มีอำนาจได้มอบอำนาจให้นายพันธุ์ชัยและนายนิสัย ทำสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ตามหนังสือมอบอำนาจหมาย จ.3 และสำเนาหนังสือรับรองเอกสารท้ายฎีกา ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่าหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ได้ถูกยกเลิกตั้งแต่ปี 2533 จำเลยทั้งสามมิได้นำสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายพันธุ์ชัย และนายนิสัยทำสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์และหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องหมายเลข 3 มีผลผูกพันบังคับได้ คำวินิจฉัยของ ศาลอุทธรณ์เป็นเพียงการวินิจฉัยข้อเท็จจริงจากเอกสารที่โจทก์ อ้างเป็นพยานต่อศาล โดยมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามคำให้การ ของจำเลยมาประกอบ เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่โต้แย้ง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล และเป็นการเถียง ข้อเท็จจริงที่ยุติและต้องห้ามฎีกาเพื่อการวินิจฉัยข้อกฎหมาย ตามฎีกาโจทก์ จึงมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์นั้นชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share