คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 475/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินโบนัสและเงินบำเหน็จเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างนอกเหนือไปจากที่นายจ้างจะต้องจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ เช่นค่าชดเชยดังนั้น นายจ้างจะจ่ายเงินโบนัสและเงินบำเหน็จให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ และถ้าจ่ายจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดก็ต้องแล้วแต่นายจ้างจะกำหนด หรือตามสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วแต่กรณี เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ โจทก์บางคนที่จำเลยรับเข้าทำงานเองมิได้มีความผูกพันอยู่กับสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อจำเลยได้มีคำสั่งและประกาศให้ทราบแล้วว่า ให้แยกจ่ายเงินค่าครองชีพต่างหากจากเงินเดือนและค่าจ้าง ทั้งโจทก์ก็ได้ยอมรับเอาเงินโบนัสและเงินบำเหน็จไปแล้ว มิได้มีการโต้แย้งหรือเรียกร้องให้จำเลยจ่ายเป็นประการอื่น จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยนำเงินค่าครองชีพมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินโบนัสหรือเงินบำเหน็จเพิ่มอีกได้
ส่วนโจทก์บางคนที่จำเลยรับโอนจากโรงงานสุรากรมโรงงานอุตสาหกรรมตามสัญญาเช่านั้น จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่า โดยที่ขณะสัญญาเช่ายังมีผลบังคับกระทรวงการคลังได้สั่งให้รัฐวิสาหกิจที่จ่ายเงินค่าครองชีพเงินค่ายังชีพ หรือเงินที่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นแต่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน นำเงินดังกล่าวไปบวกรวมเข้ากับเงินเดือนค่าจ้าง และนำยอดรวมไปปรับเข้าขั้นเงินเดือนค่าจ้าง ตามบัญชีอัตราเงินเดือน ค่าจ้าง ที่รัฐวิสาหกิจใช้อยู่ ซึ่งเห็นว่าตามวิธีการที่กำหนดนี้ย่อมเป็นการให้ประโยชน์แก่ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจดีขึ้นในการคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จ ฉะนั้น จึงอยู่ในข้อบังคับของสัญญาเช่าอันเป็นผลให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือคำสั่งทางราชการดังกล่าว ด้วยเหตุนี้โจทก์ที่จำเลยรับโอนมาจึงมีสิทธิจะให้จำเลยนำเงินค่าครองชีพมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จเพิ่มอีกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง 86 คน เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยได้รับค่าจ้างค่าครองชีพคนละ 500 บาท จำเลยได้จ่ายโบนัสและบำเหน็จ โดยไม่นำเอาเงินค่าครองชีพ 500 บาทมารวมเข้ากับค่าจ้างเป็นเกณฑ์ในการคำนวณจ่ายโบนัสและบำเหน็จ ต่อมาได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ 1889/2523 ระหว่าง สหภาพแรงงานโรงงานสุราบางยี่ขันโจทก์คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ จำเลย พิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ทำให้จำเลยต้องนำเงินค่าครองชีพเดือนละ 500 บาท มารวมกับค่าจ้างเป็นเกณฑ์ในการจ่ายบำเหน็จและเงินโบนัสตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ซึ่งมีผลให้โจทก์ทุกคนมีสิทธิได้รับบำเหน็จและเงินโบนัสเพิ่มขึ้น จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินโบนัสและเงินบำเหน็จเพิ่ม

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่รับรองว่าโจทก์ทุกคนหรือบางคนจะเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่ ถ้าโจทก์ไม่เป็นลูกจ้างจำเลยโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนอกจากไม่ผูกพันจำเลย ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีแล้วข้อเท็จจริงในคดีดังกล่าวก็แตกต่างกับข้อเท็จจริงในคดีนี้เพราะจำเลยมิใช่รัฐวิสาหกิจอันจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของกระทรวงการคลัง และตามคำสั่งนี้แม้จะมีผลบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่า ก็เป็นเพียงปฏิบัติแก่พนักงานคนงานของโรงงานสุรา กรมโรงงานอุตสาหกรรมเท่านั้น ไม่มีสัญญาหรือข้อบังคับให้จำเลยต้องปฏิบัติแก่พนักงานคนงานที่จำเลยได้เริ่มจ้างไว้ในระหว่างเช่าโรงงานสุราบางยี่ขัน เงินโบนัสและเงินบำเหน็จโจทก์ได้ยอมรับไปโดยถูกต้องตามข้อตกลงเสร็จสิ้นไปแล้วโดยมิได้โต้แย้งคัดค้าน การเรียกร้องของโจทก์เป็นการนอกเหนือจากสัญญาและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโจทก์จะเป็นพนักงานคนงานของโรงงานสุรา กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือเป็นลูกจ้างที่จำเลยเริ่มจ้างภายหลังเมื่อจำเลยทำสัญญาเช่าหรือไม่โจทก์มิได้กล่าวอ้างในฟ้อง จำเลยจึงขอปฏิเสธว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ในการปรับปรุงเงินเดือนและค่าจ้างหรือการให้เงินตอบแทนแก่พนักงานคนงานนั้น จำเลยได้ถือปฏิบัติตามแบบของทางราชการซึ่งพนักงานคนงานทุกคนรวมทั้งโจทก์ต่างรู้เห็นยินยอมด้วยตลอดมา ส่วนเงินค่าครองชีพได้แยกจ่ายต่างหากจากอัตราเงินเดือนค่าจ้างประจำตามปกติ ทั้งโจทก์จำเลยก็ได้ถือปฏิบัติต่อกันมาจนสิ้นอายุสัญญาเช่า จึงถือได้ว่าเป็นข้อตกลงในสภาพการจ้างที่ทุกฝ่ายได้ตกลงแล้ว บัญชีรายละเอียดรายได้เพิ่มท้ายฟ้องของโจทก์ไม่ถูกต้องเป็นการคำนวณตัวเลขสูงกว่าความเป็นจริง แม้หากจำเลยจะรับผิดก็ไม่เท่าจำนวนที่ปรากฏในบัญชีท้ายฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้อง

โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า โจทก์รวม 24 คนเป็นลูกจ้างที่จำเลยจ้างเข้ามาทำงานเอง ส่วนโจทก์อื่นนอกจากนี้เป็นลูกจ้างที่จำเลยรับโอนมาจากโรงงานสุรา กรมโรงงานอุตสาหกรรม จำเลยได้จ่ายค่าครองชีพให้แก่ลูกจ้างทุกคนเดือนละ 500 บาท สำหรับวันเข้าทำงานและค่าจ้างโจทก์รับว่าตรงตามเอกสารของจำเลย

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องและฟ้องไม่เคลือบคลุมเงินโบนัสและเงินบำเหน็จเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างนอกเหนือไปจากที่นายจ้างจะต้องจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ดังนั้น การจ่ายจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดย่อมแล้วแต่นายจ้างจะกำหนด หรือตามสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วแต่กรณี ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะการที่จำเลยจ่ายค่าครองชีพแยกจ่ายต่างหากไม่รวมเข้ากับอัตราเงินเดือนค่าจ้างแล้วจำเลยได้จ่ายเงินโบนัสและเงินบำเหน็จโดยไม่นำค่าครองชีพมาคำนวณด้วยเพราะได้ประกาศให้ทราบแล้วว่าค่าครองชีพไม่เป็นเงินเดือนค่าจ้าง เป็นการจ่ายให้ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ซึ่งโจทก์ทุกคนก็ยอมรับมิได้โต้แย้งหรือเรียกร้องให้จ่ายเป็นประการอื่นการจ่ายเงินโบนัสและเงินบำเหน็จจึงถูกต้อง โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยนำค่าครองชีพมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จเพิ่มอีก พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า เงินโบนัสและเงินบำเหน็จเป็นเงินที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างนอกเหนือไปจากที่นายจ้างจะต้องจ่ายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯเช่นค่าชดเชย ดังนั้น นายจ้างจะจ่ายเงินโบนัสและเงินบำเหน็จให้แก่ลูกจ้างหรือไม่ และถ้าจ่ายจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดก็ต้องแล้วแต่นายจ้างจะกำหนด หรือตามสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างหรือตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง แล้วแต่กรณี เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ โดยเฉพาะพนักงานและคนงานรวมทั้งโจทก์บางคนที่จำเลยรับเข้าทำงานเอง มิได้มีความผูกพันอยู่กับสัญญาเช่าระหว่างจำเลยกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม การจ่ายเงินโบนัสและเงินบำเหน็จจะจ่ายด้วยวิธีการและหลักเกณฑ์อย่างใดย่อมแล้วแต่นายจ้างจะกำหนด เมื่อจำเลยได้มีคำสั่งและประกาศให้ทราบแล้วว่า ให้แยกจ่ายเงินค่าครองชีพต่างหากจากเงินเดือนและค่าจ้าง ทั้งพนักงานและคนงานรวมทั้งโจทก์ก็ได้ยอมรับเอาเงินโบนัสและเงินบำเหน็จไปแล้ว มิได้มีการโต้แย้งหรือเรียกร้องให้จำเลยจ่ายเป็นประการอื่นจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลยนำเงินค่าครองชีพมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จเพิ่มอีกได้

ส่วนพนักงานและคนงานรวมทั้งโจทก์บางคนที่จำเลยรับโอนจากโรงงานสุรา กรมโรงงานอุตสาหกรรมตามสัญญาเช่านั้น จำเลยต้องผูกพันตามสัญญาเช่าโดยที่ขณะสัญญาเช่ายังมีผลบังคับได้มีหนังสือกระทรวงการคลังที่ กค.0512/28497 ลงวันที่ 11 กันยายน 2521 ให้รัฐวิสาหกิจที่จ่ายเงินค่าครองชีพเงินค่ายังชีพ หรือเงินที่เรียกชื่อเป็นอย่างอื่นแต่มีลักษณะคล้ายคลึงกันนำเงินดังกล่าวไปบวกรวมเข้ากับเงินเดือนค่าจ้างและนำยอดไปปรับเข้าขั้นเงินเดือนค่าจ้าง ตามบัญชีอัตราเงินเดือน ค่าจ้างที่รัฐวิสาหกิจใช้อยู่ ซึ่งเห็นว่าตามวิธีการที่กำหนดนี้หากนำค่าครองชีพมาบวกรวมเข้ากับเงินเดือนและค่าจ้างย่อมเป็นการให้ประโยชน์แก่ลูกจ้างของของรัฐวิสาหกิจดีขึ้นในการคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จ ฉะนั้น จึงอยู่ในบังคับของสัญญาเช่าอันเป็นผลให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าต้องปฏิบัติตามระเบียบหรือคำสั่งทางราชการดังกล่าวสำหรับพนักงานและคนงานโรงงานสุรา กรมโรงงานอุตสาหกรรม ที่รับโอนมาจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ ด้วยเหตุนี้โจทก์ที่จำเลยรับโอนมาจึงมีสิทธิจะให้จำเลยนำเงินค่าครองชีพเดือนละ 500 บาทมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จเพิ่มอีกได้ แต่ในการคำนวณเงินโบนัสและเงินบำเหน็จที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจ่ายเพิ่มให้นั้น จำเลยยังให้การโต้แย้งอยู่ว่า บัญชีรายละเอียดรายได้เพิ่มท้ายฟ้องไม่ถูกต้อง เป็นการคำนวณตัวเลขสูงกว่าความเป็นจริง แม้หากจำเลยจะรับผิดก็ไม่เท่าจำนวนที่ปรากฏในบัญชีท้ายฟ้อง รูปคดีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงในประเด็นข้อนี้ต่อไป

พิพากษาแก้ ให้ยกคำพิพากษาศาลแรงงานกลางในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ ซึ่งจำเลยรับโอนมาจากโรงงานสุรา กรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้ทำการพิจารณาในประเด็นข้อนี้แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share