คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4232/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อหากระทงความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 แม้ฎีกาของโจทก์ร่วมจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วว่า การกระทำของจำเลยยังไม่มีเจตนากระทำความผิด เช่นนี้ ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ร่วมไม่ว่าจะมีข้อโต้แย้งประการใด ก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานบุกรุกแยกกระทงกันมา การพิจารณาสิทธิในการอุทธรณ์ต้องแยกพิจารณาเป็นรายกระทงความผิด ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมจึงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสาม ฐานร่วมกันบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ของโจทก์ร่วม อันเป็นความผิดต่างกรรมกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 358, 362, 365(2) (3)
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับข้อหากระทงความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 365 นั้น ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริงคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แม้ฎีกาของโจทก์ร่วมจะเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฏหมาย แต่ศาลฎีกาก็ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนคดีนี้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวนว่าการกระทำของจำเลยยังไม่มีเจตนากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องซึ่งศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามนี้ เมื่อต้องฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิด ฎีกาข้อกฎหมายของโจทก์ร่วมไม่ว่าจะมีข้อโต้แย้งประการใดก็ไม่อาจทำให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยได้ ฎีกาโจทก์ร่วมจึงฟังไม่ขึ้น
ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า ข้อหาความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์เพราะเมื่อข้อหาฐานบุกรุกไม่ต้องห้ามอุทธรณ์แล้วข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งฟ้องมาด้วยกันย่อมไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ด้วยนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาฐานทำให้เสียทรัพย์และฐานบุกรุกแยกกระทงกันมาโดยชัดแจ้งการพิจารณาสิทธิในการอุทธรณ์ของคู่ความนั้น ต้องพิจารณาเป็นรายกระทงความผิดไปในกระทงความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 358 นั้น มีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง และโจทก์ร่วมก็อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นนี้อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมในข้อหาทำให้เสียทรัพย์จึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share