แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหายักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบและถือว่าข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหานี้อีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยในฐานะเป็นผู้จัดการร้านค้าสหกรณ์ได้รับมอบหมายจากผู้เสียหายให้ครอบครองและจัดการสินค้าต่างๆ จำเลยได้เบียดบังสินค้าดังกล่าวไปโดยทุจริต จำเลยมีหน้าที่ในการจัดการทำบัญชีให้ถูกต้องกลับทุจริตไม่จัดทำสมุดซื้อสินค้าและบัญชีให้ถูกต้อง ทุจริตกระทำผิดหน้าที่โดยเปิดบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารในชื่อบัญชีของจำเลย แล้วนำกิจการทางการเงินของผู้เสียหายไปปะปนกับกิจการการเงินของจำเลย รักษาเงินสดของผู้เสียหายเกิน 5,000 บาท และไม่นำเงินส่วนที่เกินไปฝากธนาคารในบัญชีของผู้เสียหาย และไม่จัดทำรายงานกิจการค้าของผู้เสียหายรวม 3 เดือน เสนอต่อกรรมการดำเนินการของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาสินค้าที่ยักยอกเป็นเงิน 23,120.01 บาท และสินค้าที่ขาดบัญชีเป็นเงิน 260,826.10 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 แต่พิพากษาว่ามีความผิดฐานยักยอกตาม มาตรา 352 จำคุกจำเลย 6 เดือนให้คืนหรือใช้ราคาที่ยักยอกเป็นเงิน 10,917.01 แก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องพิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา352 เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ‘คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงให้ ก็เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ และถือว่าข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงสำหรับข้อหานี้อีก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย’
พิพากษายืน.