คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า นายบุญหยกหรือนายไพเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเลินเล่อ และจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันหรือไม่ แล้วฟังว่าเหตุที่รถยนต์ชนกันเกิดจากนายไพขับรถของจำเลยที่ 1โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว แต่จำเลยทั้งสองกันนายไพไม่มีนิติสัมพันธ์กันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยทั้งสองมิได้แก้อุทธรณ์ว่าความจริงขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ศาลอุทธรณ์ชอบที่วินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่1 โดยประมาทชนรถยนต์ของนายบุญหยกและพิพากษาให้จำเลยที่2 รับผิดต่อโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน๒ ข-๒๕๘๑ ของนายบุญหยก จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์หมายเลขทะเบียน ข.ก.๑๓๑๑๖ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีผลประโยชน์ร่วมกับนายไพในการใช้รถยนต์คันดังกล่าวเป็นตัวการหรือนายจ้างของนายไพ ระหว่างอยู่ในกำหนดเวลาประกันภัย นายไพได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยประมาทเลินเล่อชนกับรถยนต์หมายเลขทะเบียน๒ ข-๒๕๘๑ ที่นายบุญหยกขับมาเป็นเหตุให้รถยนต์หมายเลขทะเบียน ๒ ข-๒๕๘๑ของนายบุญหยกได้รับความเสียหาย โจทก์เสียค่าซ่อมไป ๒๑,๒๙๔ บาท จึงรับช่วงสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าจำเลยที่ ๒ ยืมรถของจำเลยที่ ๑ ไปใช้ในธุรกิจส่วนตัวจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า นายบุญหยกเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทฝ่ายเดียวจำเลยที่ ๒ ไม่มีผลประโยชน์ใด ๆ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่เคยใช้หรือสั่งให้นายไพกระทำการเกี่ยวกับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับจำเลยที่ ๑ และนายไพ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่านายบุญหยกหรือนายไพเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเลินเล่อ และจำเลยทั้งสองและนายไพมีนิติสัมพันธ์กันหรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่รถยนต์ของจำเลยที่ ๑กับรถยนต์ของนายบุญหยกชนกันนั้น เกิดจากนายไพขับรถของจำเลยที่ ๑โดยประมาทเลินเล่อฝ่ายเดียว โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่า จำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กัน ไม่มีเหตุที่จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดที่นายไพได้กระทำ พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กัน โจทก์จ่ายเงินค่าซ่อมรถของนายบุญหยกไปแล้ว ๒๑,๒๙๔ บาท โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากนายบุญหยกจึงมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสองก็มิได้แก้อุทธรณ์ว่า ความจริงขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ศาลอุทธรณ์ชอบที่จะวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสองกับนายไพมีนิติสัมพันธ์กันหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของนายบุญหยกและพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ของนายบุญหยกพร้อมกับดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นั้น จึงเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดนอกประเด็น ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยชี้ขาดคดีนี้ไปเสียเลยโดยไม่ส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าโจทก์สืบไม่ได้ว่านายไพเป็นลูกจ้างของจำเลยทั้งสอง ศาลจะบังคับให้จำเลยทั้งสองหรือคนหนึ่งคนใดรับผิดต่อโจทก์ไม่ได้
พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒ ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share