คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4145/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ที่ระบุค่าเช่าซื้อจำนวน 2,878,504.80 บาท นั้น จำเลยทั้งสองยอมรับว่าจำนวนเงินดังกล่าวถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหลังจากหักเงินดาวน์ออกแล้ว การระบุค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือหลังจากหักเงินดาวน์ออกแล้วก็เพื่อการคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องชำระในแต่ละงวดเท่านั้น ส่วนเงินดาวน์แม้จะมิได้ระบุในสัญญาก็หาใช่สาระสำคัญไม่ เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องระบุจำนวนเงินดาวน์ไว้ จึงเป็นเพียงข้อเท็จจริง ที่คู่ความอาจนำสืบได้ เอกสารสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงไม่ใช่เอกสารปลอม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ ในราคา ๒,๘๗๘,๕๐๔.๘๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ ตั้งแต่งวดที่ ๒๑ ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันทันที ต่อมาโจทก์ติดตามยึดรถคืนได้ในสภาพชำรุดและนำออกประมูลขายได้เป็นเงินเพียง ๑,๒๒๗,๒๗๒.๗๓ บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดราคาเช่าซื้อ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถให้บุคคลอื่นเช่าและค่าใช้จ่ายในการติดตามรถคืน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน ๖๔๘,๗๕๕.๓๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ และจำเลยที่ ๑ แก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นเอกสารปลอม เพราะภายหลังจำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อและประทับตราแล้ว โจทก์ได้กรอกข้อความลงในสัญญาว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อในราคา ๒,๘๗๘,๕๐๔.๘๐ บาท โดยไม่มีเงินดาวน์ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยที่ ๑ ตกลงเช่าซื้อรถจากโจทก์ในราคา ๓,๐๒๒,๔๓๐.๐๓ บาท ชำระเงินดาวน์ในวันทำสัญญาจำนวน ๑๕๔,๐๐๐ บาท ซึ่งโจทก์กรอกข้อความฝ่าฝืนข้อตกลงไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๑ ไม่ตรงต่อความจริงและมีเจตนาหลีกเลี่ยงการเสียภาษี จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์รวม ๒๐ งวด เป็นเงิน ๑,๕๔๐,๐๐๐ บาท รวมกับเงินดาวน์แล้วรวมเป็นเงิน ๑,๖๙๔,๐๐๐ บาท โจทก์ต้องคืนเงินที่จำเลยที่ ๑ ชำระให้โจทก์จำนวน ๑,๖๙๔,๐๐๐ บาท แก่จำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ใช้รถ ๔๕ เดือนเศษ ขอคิดเงินที่โจทก์ต้องจ่ายคืนเพียง ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับให้โจทก์ชำระเงินจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องแย้ง (ฟ้องแย้งวันที่ ๓ สิงหาคม ๒๕๔๑) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ ๑
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยคัดค้านว่าสัญญาไม่สมบูรณ์ แม้โจทก์ไม่ได้ระบุเงินดาวน์ลงในสัญญาแต่โจทก์กรอกรายละเอียดลงในสัญญาตามความจริงถูกต้องครบถ้วน สัญญาจึงมีผลสมบูรณ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๑) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ ๔,๐๐๐ บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๙๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า สัญญาเช่าซื้อเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ โดยจำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำนวนเงินดาวน์และจำนวนเงินราคาเช่าซื้อเป็นสาระสำคัญของสัญญาเช่าซื้อ การที่สัญญาเช่าซื้อมิได้รวมเงินดาวน์เข้าไปในราคาเช่าซื้อย่อมเป็นการปลอมเอกสารนั้น เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ระบุค่าเช่าซื้อจำนวน ๒,๘๗๘,๕๐๔.๘๐ บาท นั้น จำเลยทั้งสองยอมรับว่าจำนวนเงินดังกล่าวถูกต้องตรงกับความเป็นจริงหลังจากหักเงินดาวน์ออกแล้ว การระบุค่าเช่าซื้อส่วนที่เหลือหลังจากหักเงินดาวน์ออกแล้วก็เพื่อการคำนวณจำนวนเงินที่จะต้องชำระในแต่ละงวดเท่านั้น ส่วนเงินดาวน์แม้จะมิได้ระบุในสัญญาก็หาใช่สาระสำคัญไม่ เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องระบุจำนวนเงินดาวน์ไว้ จึงเป็นเพียงข้อเท็จจริงที่คู่ความอาจนำสืบได้ เอกสารสัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เอกสารปลอม ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share