แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยมีอาการป่วยทางจิต เป็นโรควิตกกังวล จำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วมโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยไม่หลบหนีคงนั่งซึมอยู่ที่บ้านจนถูกนำตัวส่งเจ้าพนักงานตำรวจ ชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า เกิดประสาทหลอนคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงหยิบมีดขึ้นมาถือหลังจากนั้นมีดจะไปแทงถูกโจทก์ร่วมอย่างไรจำเลยไม่ทราบ ตามปกติจำเลยสามารถทำงานได้ แต่เวลาจำเลยมีอาการจะมีลักษณะกลัวคนซึ่งตามหลักวิชาการจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่ ขณะกระทำผิดจำเลยจึงยังสามารถรู้ผิดชอบและสามารถบังคับตนเองได้บ้างตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,33 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80, 65 วรรคสองจำคุกจำเลย 1 ปี ริบของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่า จำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วมโดยเจตนาฆ่า แต่โจทก์ร่วมได้รับการรักษาจากแพทย์ทันท่วงทีจึงไม่ถึงแก่ความตาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีเพียงว่า จำเลยกระทำผิดในขณะที่ไม่รู้ผิดชอบหรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะจิตบกพร่องหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีอาการป่วยทางจิต เป็นโรควิตกกังวลต้องเข้ารับการตรวจรักษาจากแพทย์โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2529 จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2531 จึงเข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลชุมพวงซึ่งอยู่ใกล้บ้านจำเลยเรื่อยมา จำเลยใช้มีดแทงโจทก์ร่วมโดยไม่มีสาเหตุเมื่อเกิดเหตุแล้วจำเลยไม่หลบหนีคงนั่งซึมอยู่ที่บ้านจนผู้ใหญ่บ้านมานำตัวไปส่งเจ้าพนักงานตำรวจชั้นสอบสวนจำเลยให้การว่า เกิดประสาทหลอนคิดว่าจะมีคนมาฆ่าจึงหยิบมีดขึ้นมาถือหลังจากนั้นมีดจะไปแทงถูกโจทก์ร่วมอย่างไรจำเลยไม่ทราบ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตหรือมีจิตบกพร่องหวาดระแวงว่าโจทก์ร่วมเป็นคนร้ายที่จะมาฆ่าจำเลยจึงได้ใช้มีดแทงโจทก์ร่วม แต่ตามคำเบิกความของนายแพทย์พันธ์ศักดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาพยานจำเลยยืนยันว่าลักษณะอาการประสาทของจำเลยนั้นตามหลักวิชาการจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่ และตามคำเบิกความของนางดอกไม้ภริยาจำเลยก็ได้ความว่า ตามปกติจำเลยสามารถทำการงานได้ แต่เวลาจำเลยมีอาการจะมีลักษณะกลัวคน จำเลยมีอาการนั่งตาซึมมานานประมาณ10 วัน จึงเกิดเหตุ พฤติการณ์ของจำเลยก่อนและหลังการกระทำผิดย่อมนำมาเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยให้เห็นได้ว่า สภาวะจิตใจของจำเลยในขณะกระทำผิดนั้นยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หาใช่กระทำไปโดยไม่รู้สาเหตุและไม่รู้ตัวว่ากระทำอะไรทั้งหมดนอกจากนี้ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีอาการคลุ้มคลั่งควบคุมตนเองไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่าจำเลยกระทำผิดเพราะไม่สามารถบังคับตนเองได้
พิพากษายืน