คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1928/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยรับซื้อสินค้าไว้โดยไม่มีพฤติการณ์ใดส่อให้เห็นว่าเป็นการรับซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ ร. ฉ้อโกงมาจากโจทก์ร่วม เป็นการซื้อไว้โดยสุจริตย่อมไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร การที่จำเลยรับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จาก ร.พนักงานขายของโจทก์ร่วมถือได้ว่าเป็นการซื้อสินค้าไว้จาก ร.ผู้ขายสินค้าชนิดนั้น เมื่อจำเลยซื้อมาโดยสุจริตและไม่ปรากฎว่าโจทก์ร่วมเสนอชดใช้ราคาให้ จำเลยจึงไม่จำต้องคืนสินค้าของกลางหรือชดใช้ราคาสินค้านั้นให้แก่โจทก์ร่วม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357, 91 ที่แก้ไขแล้ว คืนของกลางแก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 390,764 บาท แก่ผู้เสียหาย
ระหว่างพิจารณา บริษัทไมล์ฟอร์ดเทรดดิ้ง จำกัดผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุกกรรมละ 2 ปี รวม 48 กรรมเป็นโทษจำคุก 96 ปี โดยข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 คงให้จำคุกจำเลย 20 ปี คืนของกลางให้โจทก์ร่วมเฉพาะส่วนที่ไม่เหนือจากรายการและไม่เกินจากจำนวนที่ระบุไว้ในคำฟ้องว่าจำเลยรับไว้ โดยให้จ่าศาลเป็นเจ้าพนักงานตรวจสอบและจัดทำบัญชียึดหลักการว่าเป็นสินค้าสิ่งเดียวกันยิ่งกว่าชื่อที่เรียกขานซึ่งอาจแตกต่างผิดเพี้ยนกันไปบ้าง ของกลางนอกนั้นคืนให้จำเลยและให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วมหรือใช้ราคาเป็นเงิน 390,764 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ร่วมประกอบอาชีพขายส่งเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ มีนางสาวรุ่งนภา แซ่จู เป็นพนักงานขาย ต่อมาเมื่อระหว่างวันที่ 21 ธันวาคม 2527 ถึงวันที่ 16 มีนาคม 2528นางสาวรุ่งนภาได้ฉ้อโกงสินค้าของโจทก์ร่วมไป 48 ครั้งรวมราคา 717,518 บาท ดังรายละเอียดปรากฎตามใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.146 ต่อมาวันที่ 19 มีนาคม 2528เจ้าพนักงานตำรวจยึดสินค้าจากจำเลยรวมราคา 326,754 บาทเป็นของกลาง ดังรายละเอียดปรากฎตามบัญชีทรัพย์ถูกประทุษร้ายได้คืนเอกสารหมาย จ.160 สินค้าของกลางนี้เกือบทั้งหมดเป็นสินค้าที่นางสาวรุ่งนภาฉ้อโกงจากโจทก์ร่วมแล้วนำไปขายให้จำเลย มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่เห็นสมควรวินิจฉัยในประการแรกว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานรับของโจรดังฟ้องหรือไม่เห็นว่าจากคำเบิกความของนายประสงค์ เบญจวรธรรม นางสาวรุ่งนภา แซ่จู นายยงยุทธ ประเสริฐผล นายสมปอง พิชิตพงศ์เผ่าพันตำรวจตรีชัชวาลย์ สุขสมจิตร และร้อยตำรวจเอกรังสรรค์ ประดิษฐ์ผล พยานของโจทก์และโจทก์ร่วมเองได้ความว่านางสาวรุ่งนภาเป็นพนักงานขายของโจทก์ร่วม มีหน้าที่ไปติดต่อขายสินค้าของโจทก์ร่วมให้ลูกค้าโดยทั่วไป สินค้าที่นางสาวรุ่งนภาฉ้อโกงจากโจทก์ร่วมแล้วนำไปขายให้จำเลยนั้นนางสาวรุ่งนภาไปติดต่อขายให้จำเลยที่ร้านค้าของจำเลย โดยมีพนักงานส่งของของโจทก์ร่วมเป็นผู้นำสินค้าไปส่งที่ร้านค้าของจำเลยจำเลยซื้อสินค้าจากนางสาวรุ่งนภาเป็นเงินสด โดยบางครั้งชำระให้เป็นเงินสด บางครั้งชำระให้เป็นเช็ค เมื่อนายประสงค์พันตำรวจตรีชัชวาลย์ และร้อยตำรวจเอกรังสรรค์ ร่วมกันไปยึดสินค้าของกลางจากจำเลย สินค้าของกลางบางส่วนตั้งวางขายอยู่หน้าร้านค้าของจำเลยโดยเปิดเผย บางส่วนบรรจุในกล่องกระดาษวางอยู่ในร้านค้าและที่โกดังเก็บสินค้าของจำเลย ซึ่งตามพฤติการณ์ของจำเลยดังได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวไม่มีสิ่งที่ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จากนางสาวรุ่งนภาโดยจำเลยรู้ว่าเป็นสินค้าของโจทก์ร่วมที่นางสาวรุ่งนภาได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ส่วนข้อที่ว่าสินค้าของโจทก์ร่วมที่จำเลยรับซื้อไว้จากนางสาวรุ่งนภามีจำนวนมากนั้น เห็นว่า จำเลยประกอบอาชีพค้าขาย นอกจากสินค้าของโจทก์ร่วมที่จำเลยรับซื้อไว้จากนางสาวรุ่งนภาแล้วจำเลยยังขายสินค้าอื่นอีกหลายอย่างโดยขายปลีกในร้านค้าของจำเลย และขายส่งนั้นในกรุงเทพมหานครกับในต่างจังหวัด การที่จำเลยรับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จากนางสาวรุ่งนภาเป็นจำนวนมากดังกล่าวจึงมิใช่เป็นเรื่องผิดปกติในทางการค้าของจำเลย และที่นางสาวรุ่งนภาเบิกความผิดปกติในทางการค้าของจำเลย และที่นางสาวรุ่งนภาเบิกความว่า ได้ขายสินค้าของโจทก์ร่วมให้จำเลยในราคาที่ต่ำกว่าราคาตามที่โจทก์ร่วมตั้งราคาขายไว้ประมาณ 50 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์นั้น เห็นว่า นางสาวรุ่งนภาเป็นผู้มีส่วนร่วมกระทำความผิดในคดีนี้ คำเบิกความของนางสาวรุ่งนภามีลักษณะเป็นคำเบิกความซัดทอดจำเลยที่ต้องหาว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และโจทก์กับโจทก์ร่วมมีเพียงนางสาวรุ่งนภาที่เบิกความกล่าวอ้างโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบสนับสนุนยังมีเหตุน่าสงสัยว่านางสาวรุ่งนภาได้ขายสินค้าของโจทก์ร่วมให้จำเลยในราคาต่ำกว่าที่โจทก์ร่วมตั้งราคาขายไว้ 50 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์จริงหรือไม่ ทั้งยังเห็นด้วยว่าถึงหากจะฟังว่านางสาวรุ่งนภาได้ขายสินค้าของโจทก์ร่วมจำเลยในราคาต่ำกว่าที่โจทก์ร่วมตั้งราคาขายไว้ 50 ถึง 60 เปอร์เซนต์จริง ก็จะฟังว่าจำเลยได้รับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จากนางสาวรุ่งนภาโดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่นางสาวรุ่งนภาได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงไม่ได้ เพราะโจทก์ร่วมจะตั้งราคาขายสินค้าไว้อย่างไรและลดราคาให้ผู้ซื้อได้มากน้อยเพียงใด เป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมกำหนดขึ้นเอง โดยจากพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้รู้ถึงราคาที่โจทก์ร่วมได้กำหนดไว้ดังกล่าวพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมได้ความดังนี้ประกอบกับจำเลยให้การและนำสืบปฎิเสธว่า จำเลยรับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จากนางสาวรุ่งนภาโดยจำเลยไม่รู้ว่าเป็นสินค้าที่นางสาวรุ่งนภาได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าจำเลยได้รับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จากนางสาวรุ่งนภาโดยสุจริต ไม่รู้ว่าเป็นสินค้าที่นางสาวรุ่งนภาได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญา คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานรับของโจรดังฟ้อง ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังขึ้น และเห็นว่าการที่จำเลยรับซื้อสินค้าของโจทก์ร่วมไว้จากนางสาวรุ่งนภาพนักงานขายของโจทก์ร่วมผู้ขายสินค้าดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยได้รับซื้อสินค้าไว้จากนางสาวรุ่งนภาผู้ขายสินค้าชนิดนั้น เมื่อจำเลยซื้อสินค้าไว้โดยสุจริตดังวินิจฉัยแล้ว และไม่ปรากฎว่าโจทก์ร่วมได้เสนอชดใช้ราคาสินค้าที่ซื้อมาให้จำเลย จำเลยจึงไม่จำต้องคืนสินค้าของกลางในส่วนที่เป็นของโจทก์ร่วม และไม่จำต้องชดใช้ราคาสินค้าอื่นให้โจทก์ร่วมดังคำขอท้ายฟ้องทั้งนี้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่นตามฎีกาของจำเลยต่อไปอีก”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ของกลางให้คืนจำเลย

Share