แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามคำร้องขอให้งดการบังคับคดีแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มายื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกโดยอ้างเหตุว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 และโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้คดีนี้เต็มจำนวนแล้ว อันเป็นการอ้างเหตุเดิม แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะอ้างว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ระงับไปแล้วก็ตาม แต่ข้ออ้างดังกล่าวเป็นการอ้างเพื่อให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาเช่นเดียวกับคำร้องขอให้งดการบังคับคดีครั้งก่อน ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้ว กรณีจึงต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ที่ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว คำร้องขอให้งดการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องห้ามตามบทมาตราดังกล่าว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 4,441,217.05 บาท พร้อมค่าปรับในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2545 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีอ้างเหตุว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 และตั้งผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการ ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 3 โจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้โดยนำมูลหนี้ในคดีนี้ไปขอรับชำระหนี้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้รายนี้พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เต็มจำนวนแล้วมากกว่าที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิด ต่อมาผู้ทำแผนได้นำเสนอแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 ต่อศาลล้มละลายกลาง และที่ประชุมเจ้าหนี้ได้มีมติรับรองแล้ว ขอให้งดการบังคับคดีจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไว้ชั่วคราว เพื่อให้โจทก์รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 3 ตามแผนฟื้นฟูกิจการเสียก่อน หากโจทก์ได้รับเงินชำระหนี้มากกว่าจำนวนที่จะได้รับตามคำพิพากษาในคดีนี้ก็ขอให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องค่าคำร้องเป็นพับ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาและคำสั่งโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลฎีกาพิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ กำหนดค่าทนายความให้ 8,000 บาท หลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้ว วันที่ 17 มกราคม 2554 โจทก์ยื่นคำขอออกหมายบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2554 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำร้องของดการบังคับคดี อ้างว่าโจทก์ได้นำมูลหนี้ที่เกิดจากการขายลดเช็คในคดีนี้ไปขอรับชำระหนี้ในคดีที่จำเลยที่ 3 ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 โดยยังไม่เห็นสมควรให้จำเลยที่ 3 ล้มละลาย ซึ่งตามรายละเอียดของแผนพื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 โจทก์จะได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคดีนี้จนครบถ้วนเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2552 โจทก์ยื่นฟ้องขอให้จำเลยที่ 3 ล้มละลาย และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยที่ 3 แล้ว ซึ่งหากศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะเป็นผลให้โจทก์ได้รับชำระหนี้สองครั้งจากมูลหนี้เดียวกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1และที่ 2 ฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟังแล้ว วันที่ 30 มกราคม 2558 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอให้งดการบังคับคดีอีกโดยอ้างเหตุว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้เช็ค 5 ฉบับในคดีนี้ แต่โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้ในคดีนี้เต็มจำนวน จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นจำเลยที่ 3 หนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้จึงระงับแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า คำร้องขอให้งดการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เคยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 8 มกราคม 2545 ขอให้งดการบังคับคดีอ้างเหตุว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 และตั้งผู้ทำแผน โจทก์นำมูลหนี้ในคดีนี้ไปขอรับชำระหนี้และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้โจทก์ได้รับชำระหนี้รายนี้พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นจำนวนเงินมากกว่าที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิด ขอให้งดการบังคับคดีชั่วคราวเพื่อให้โจทก์ไปรับชำระหนี้ตามแผนฟื้นฟูกิจการก่อนหากโจทก์ได้รับชำระหนี้มากกว่าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ ก็ขอให้งดการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ศาลฎีกามีคำพิพากษาโดยวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ชำระหนี้แก่โจทก์ และเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เกินจำนวนหนี้ในคำพิพากษาและค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้อง ประกอบกับศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกเลิกฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 (ลูกหนี้) แล้วเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2550 คำสั่งของศาลล้มละลายกลางจึงไม่มีผลถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถือว่าศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามคำร้องขอให้งดการบังคับคดีแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะโต้เถียงเป็นอย่างอื่นว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 ไปแล้วไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้คดีนี้อีกหาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 มายื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีอีกโดยอ้างเหตุว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 3 และโจทก์ได้รับชำระหนี้ตามมูลหนี้คดีนี้เต็มจำนวนแล้ว อันเป็นเหตุเดิมที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกขึ้นอ้างเพื่อขอให้งดการบังคับคดี แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะอ้างว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่หนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ระงับไปแล้วก็ตาม แต่ข้ออ้างดังกล่าวเป็นการอ้างเพื่อให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาเช่นเดียวกับคำร้องขอให้งดการบังคับคดีครั้งก่อน ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีไปแล้ว กรณีจึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ที่ห้ามมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลนั้นอันเกี่ยวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว คำร้องขอให้งดการบังคับคดีของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องห้ามตามบทมาตราดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น และไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 1และที่ 2 เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ