คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4011/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันเป็นเจ้าของร้านค้าและจำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ตามคำฟ้องเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไม่มีข้อหาว่าเป็นหนี้ร่วมเพราะเป็นหนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1) เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมด้วยในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์หรือร่วมด้วยในการประกอบกิจการของร้านค้า ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อใช้ในกิจการค้าขายของร้านค้าซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในครอบครัวของจำเลยทั้งสองเพื่อนำรายได้มาใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตลอดถึงการรักษาพยาบาลด้วย อันเป็นหนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1)แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จึงเป็นการพิพากษาในเรื่องนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันและเป็นเจ้าของร้านธีระพร ร่วมกันประกอบกิจการขายของชำ เมื่อประมาณต้นเดือนมีนาคม 2540 จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าจำพวกเครื่องสำอาง มีแป้งโรยตัว แชมพู และครีมไปจากโจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 680,622 บาท จำเลยทั้งสองชำระราคาโดยจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาด่านช้าง 8 ฉบับ มอบให้แก่โจทก์ แต่ต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 685,625 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 680,622 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ใบสั่งซื้อสินค้าเป็นเอกสารปลอม จำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นเจ้าของร้านธีระพรและไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการในนามของร้าน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 680,622 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยเมื่อคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 4,963 บาท

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากันเป็นเจ้าของร้านธีระพรซึ่งร่วมกันประกอบกิจการขายของชำและจำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 2 จึงมีว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการสั่งซื้อสินค้าไปจากโจทก์อันเป็นความรับผิดตามสัญญาซื้อขายประการหนึ่ง และจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในหนี้ค่าสินค้ากับจำเลยที่ 1 เพราะเป็นหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(3) อีกประการหนึ่งเท่านั้น ไม่มีข้อหาว่าหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยาเพราะเป็นหนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1) แต่อย่างใด เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ร่วมด้วยในการสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์หรือร่วมด้วยในการประกอบกิจการของร้านธีระพร ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อใช้ในกิจการค้าขายของร้านซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในครอบครัวของจำเลยทั้งสองเพื่อนำรายได้มาใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดูบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตลอดถึงการรักษาพยาบาลด้วย อันเป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490(1) แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนโดยวินิจฉัยทำนองเดียวกันมานั้น จึงเป็นกรณีที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาในเรื่องนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ยกขึ้นฎีกาเมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่า จำเลยที่ 2 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการซื้อสินค้าจากโจทก์ และในการประกอบกิจการของร้านธีระพร จำเลยที่ 2 ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาอื่น ๆ ตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ต่อไป”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share