คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3976/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การฝากส่งสินค้าของโจทก์เป็นลักษณะไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนไม่มีการประกันแต่อย่างใด เมื่อไปรษณียภัณฑ์สูญหายจำเลยที่ 1 ต้องรับผิด ตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช 2477 มาตรา 29 คือตามข้อบังคับ ที่ใช้อยู่เวลานั้นหาใช่ต้องรับผิดตามมาตรา 30 ไม่ เพราะตาม มาตราดังกล่าวต้องเป็นไปรษณียภัณฑ์ ที่ผู้ฝากได้ระบุแจ้งราคาไว้แล้วเท่านั้น
การที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ลงชื่อและประทับตราลงในใบขนสินค้าขาออกซึ่งแจ้งราคาสินค้าไว้ด้วย โดยผ่านพิธีการศุลกากร มาแล้วและมิต้องเปิดตรวจสอบให้ตรงกันก่อนเป็นเพียงแสดงว่า ไปรษณียภัณฑ์นั้นผ่านเข้าไปรษณีย์แล้วเท่านั้นและโจทก์มิได้ส่งเอกสารใบขนสินค้าไว้แก่จำเลยที่ 1 ให้เป็นกิจจะลักษณะจึงถือว่า เป็นการแจ้งราคาไว้แก่จำเลยที่ 1 แล้วหาได้ไม่
จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับขนพิเศษที่จะต้องแยกไปปฏิบัติและบังคับ ตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับการไปรษณีย์โดยเฉพาะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 จึงนำบทบัญญัติ เรื่องการรับขนของในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะ 8 หมวด 1 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้และจะถือว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งมีนิติสัมพันธ์ กับจำเลยที่ 1 เท่านั้นเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามมาตรา 618 ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ส่งทับทิมและไพลินเจียระไนไปให้ลูกค้าที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยทางไปรษณีย์ของจำเลยที่ ๑ จำนวน ๒ ครั้ง เสียค่าธรรมเนียมส่งไปรษณียภัณฑ์ต่างประเทศลงทะเบียนรับประกัน จำเลยที่ ๑ ได้ว่าจ้างจำเลยที่ ๒ ให้ขนส่งไปรษณียภัณฑ์ดังกล่าวไปอีกทอดหนึ่ง ต่อมาปรากฏว่าสินค้าที่ส่งไปนั้นสูญหายจึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดชดใช้ราคาสินค้าดังกล่าว แก่โจทก์เป็นเงิน ๔๖๓,๔๓๓.๕๐ บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ฝากส่งไปรษณียภัณฑ์แก่จำเลยที่ ๑ ในประเภทไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนโดยมิได้ขอประกันไปรษณียภัณฑ์ดังกล่าว และโจทก์เสียเฉพาะค่าธรรมเนียมฝากส่งลงทะเบียนเท่านั้น สินค้าที่โจทก์อ้างจะมีจริงหรือไม่จำเลยไม่ทราบ จำเลยได้ส่งไปรษณียภัณฑ์ดังกล่าวพร้อมด้วยเอกสารกำกับตามพิธีการโดยถูกต้องและส่งมอบให้แก่ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทางเรียบร้อยแล้วตามสภาพเดิมไม่ชำรุดเสียหายจึงไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินแก่โจทก์ ๖๓๒ บาท ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า โจทก์ฝากส่งสินค้าโดยไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนไม่ได้ประกันสินค้าดังกล่าว แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่าการฝากส่งสินค้าของโจทก์ทั้งสองครั้งเป็นลักษณะไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนเท่านั้น ไม่มีการประกันแต่อย่างใดเมื่อไปรษณียภัณฑ์สูญหาย จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๒๙ คือตามข้อบังคับที่ใช้อยู่เวลานั้น ข้อบังคับดังกล่าวก็คือไปรษณียนิเทศ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ซึ่งพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๔ ให้คงใช้บังคับต่อไปได้ ข้อบังคับตามไปรษณียนิเทศพุทธศักราช ๒๕๒๐ ข้อ ๕๓๙ ระบุว่า “ประเทศที่ร่วมอยู่ในสหภาพสากลไปรษณีย์จะรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ไปรษณียภัณฑ์ลงทะเบียนที่สูญหายไปทั้งฉบับหรือห่อในราคาฉบับหรือห่อละไม่เกิน ๔๐ แฟรงก์ทอง ฯลฯ” และตามข้อ ๓๒๔ ระบุให้อัตรา ๑ แฟรงก์ทองเท่ากับ ๗.๙๐ บาท ฉะนั้นจำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ห่อละ ๓๑๖ บาท หาใช่ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์พุทธศักราช ๒๔๗๗ มาตรา ๓๐ ดังโจทก์ฎีกาไม่ เพราะตามมาตราดังกล่าวต้องเป็นไปรษณียภัณฑ์ที่ผู้ฝากได้ระบุแจ้งราคาไว้แล้วเท่านั้น การที่พนักงานของจำเลยที่ ๑ ลงชื่อและประทับตราลงในใบขนสินค้าขาออกตามเอกสารหมาย จ.๖ และ จ.๑๐ ซึ่งแจ้งราคาสินค้าไว้ด้วย โดยผ่านพิธีการศุลกากรมาแล้วและมิต้องปิดตรวจสอบให้ตรงกันก่อน ก็เป็นเพียงแสดงว่าไปรษณียภัณฑ์นั้น ๆ ผ่านเข้าไปรษณีย์แล้วเท่านั้นประกอบกับโจทก์ไม่ได้ส่งเอกสารใบขนสินค้านั้นไว้แก่จำเลยที่ ๑ ให้เป็นกิจจะลักษณะจึงถือว่าเป็นการแจ้งราคาไว้แก่จำเลยที่ ๑ แล้วหาได้ไม่
ส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ นั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับขนพิเศษที่จะต้องแยกไปปฏิบัติและบังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับสำหรับการไปรษณีย์โดยเฉพาะตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๐๙ บัญญัติไว้ จึงนำบทบัญญัติเรื่องรับขนของในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ลักษณะ ๘ หมวด ๑ มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ และจะถือว่าจำเลยที่ ๒ ซึ่งมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๑ เท่านั้นเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตามมาตรา ๖๑๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้เช่นกัน โจทก์ซึ่งไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ ๒ มาก่อนเลยจึงหามีสิทธิจะเรียกร้องให้จำเลยที่ ๒ รับผิดอย่างใดไม่
พิพากษายืน

Share