คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3834/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมาย หลายบท แต่เฉพาะความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้นที่เป็นความผิดอันยอมความได้การที่ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานนี้ คงมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์เฉพาะความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราระงับไป ส่วนความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 มิใช่ความผิดอันยอมความได้ การถอนคำร้องทุกข์ดังกล่าวย่อมไม่ตัดสิทธิของพนักงานอัยการโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 126 วรรคสอง ฉะนั้นสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ ลงโทษจำเลยในความผิดฐานบุกรุกได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อระหว่างวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยใช้มีขู่เข็ญนางสาวอำไพ คำกุย ผู้เสียหายไม่ให้ต่อสู้ขัดขืน ใช้ผ้าอุดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องแล้วใช้กำลังกายกอดปล้ำกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยจนสำเร็จความใคร่ ๑ ครั้งโดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ต่อมาระหว่างวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยงวันเวลาใดไม่ปรากฏ ชัดวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๒๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในบ้านซึ่งเป็นเคหสถานของนางสาวอำไพ คำกุย ผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควร และใช้มีดจี้บังคับขู่เข็ญผู้เสียหายไม่ให้ส่งเสียงร้องและต่อสู้ขัดขืนแล้วใช้กำลังกายประทุษร้ายกอดปล้ำกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งมิใช่ภริยาของจำเลยจนสำเร็จความใคร่ อีกทุกคราวที่บุกรุกเข้าไปคราวละ ๑ ครั้ง โดยผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๓๖๕, ๙๓ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔
จำเลยให้การปฏิเสธ หลังจากสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ส่วนจำเลยถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพฐานบุกรุก
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธิฟ้องคดีอาญาของโจทก์ย่อมระงับไป แต่จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ ให้จำคุกกระทงละ ๒ ปี รวมจำคุก ๖ ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ในการพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก ๓ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายแล้วข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่าจำเลยมีเจตนาเข้าไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นสำคัญ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่เฉพาะความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้นที่เป็นความผิดอันยอมความได้ การถอนคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายคงมีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์เฉพาะความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราระงับไป ส่วนความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ มิใช่ความผิดอันยอมความได้ การถอนคำร้องทุกข์ดังกล่าวย่อมไม่ตัดสิทธิของพนักงานอัยการโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยในความผิดฐานนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๒๖ วรรคสอง ฉะนั้นสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์จึงไม่ระงับ คดีจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานบุกรุกตามที่จำเลยให้การรับสารภาพได้
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๕ ให้จำคุกกระทงละ ๖ เดือน จำเลยกระทำความผิดเป็น ๓ กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษ รวมเป็นจำคุก ๑ ปี ๖ เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่ง คงจำคุก ๙ เดือน ให้รอการลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ไว้มีกำหนด ๒ ปี

Share