แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นบริษัทหลักทรัพย์และเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์ส่วนจำเลยมิใช่บริษัทหลักทรัพย์ และมิได้เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์โจทก์จึงมีสิทธิทำการเป็นนายหน้าของจำเลยตามพระราชบัญญัติ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาตรา 20 วรรคสอง โดยต้องอยู่ในข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยซึ่งออกตามความใน มาตรา 15(8)แห่ง พระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อโจทก์ซื้อหุ้น ตามคำสั่ง ของจำเลยและได้ชำระราคาให้สมาชิกผู้ขายไปตามข้อบังคับ ของตลาดหลักทรัพย์ โจทก์จึงชอบที่จะเรียกเงินจำนวนที่ชำระแทนไปจากจำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ย เมื่อโจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัด ส่วนอัตราดอกเบี้ยเมื่อโจทก์จำเลยไม่ได้ตกลง กำหนดไว้โดยนิติกรรม ต้องถืออัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดและเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถรับเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกทั่วไป เพื่อทำการซื้อและขายหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ เมื่อประมาณวันที่ 1 พฤศจิกายน 2520 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2520 จำเลยได้มอบให้โจทก์ติดต่อซื้อหุ้นของบริษัทต่าง ๆ จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหลายครั้ง โจทก์ได้ดำเนินการซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยหลายบริษัท คือ หุ้นของบริษัทชลประทานซิเมนต์ จำกัด บริษัทรามาเทาเวอร์ จำกัด บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด ธนาคารกรุงเทพ จำกัดบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด บริษัท กรรณสูตร จำกัด บริษัทนิวซิตี้ จำกัด(มีรายละเอียดวันซื้อ ราคาหุ้น และจำนวนหุ้นในฟ้อง) โดยโจทก์ออกเงินทดรองจ่ายไปเป็นเงินทั้งสิ้น 4,678,100 บาท โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบให้จำเลยไปรับใบหุ้นและนำเงินตามจำนวนที่โจทก์ได้ออกทดรองจ่ายไปชำระให้โจทก์ทันทีในวันที่ซื้อตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 แต่จำเลยไม่ไปรับใบหุ้นและชำระเงินให้โจทก์ ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยให้โจทก์จนกว่าจะนำเงินมาชำระให้เสร็จสิ้น ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2521 จำเลยได้นำเงินเฉพาะค่าหุ้นไปชำระพร้อมกับรับใบหุ้นไปจากโจทก์ แต่ปฏิเสธไม่ยอมชำระดอกเบี้ยซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 4,678,100บาท เป็นเงินค่าดอกเบี้ย 109,029 บาท 30 สตางค์ โจทก์ ทวงถามแล้ว จำเลยปฏิเสธ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระเงิน 109,029 บาท 30 สตางค์ ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยมอบให้โจทก์ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยเสียค่านายหน้าให้แก่โจทก์อัตราร้อยละ 1.5 ของจำนวนเงินค่าหุ้นที่ซื้อขายได้แต่ละครั้ง เป็นการซื้อขายในลักษณะนายหน้า ไม่ได้มอบให้เป็นตัวแทนการซื้อขาย ไม่ได้ตกลงจะต้องเสียดอกเบี้ยและชำระเงินให้แก่โจทก์ในทันที จะชำระเมื่อได้ตรวจสอบความถูกต้องของใบหุ้น จำนวนหุ้นและจำนวนเงินที่ปรากฏในใบหุ้น ตลอดจนหลักฐานทางบัญชีแล้ว เมื่อโจทก์ไม่พร้อมที่จะมอบใบหุ้นให้จำเลย จำเลยก็ไม่ต้องจ่ายเงิน ก่อนวันที่ 15 ธันวาคม 2520 จำเลยไม่ได้รับหนังสือจากโจทก์ให้ไปรับใบหุ้นและชำระเงินค่าหุ้น ต่อมาวันที่ 15 ธันวาคม2520 ได้รับหนังสือของโจทก์ จำเลยรีบไปติดต่อและขอชำระเงิน แต่โจทก์อ้างว่าขอเวลาตรวจสอบก่อน ต่อมาได้รับหนังสือทวงถามฉบับลงวันที่ 23ธันวาคม 2520 จำเลยได้นำเงินไปชำระภายในกำหนดเวลาที่โจทก์ระบุไว้คือวันที่ 3 มกราคม 2521 โจทก์มอบใบหุ้นให้จำเลย จำเลยมิได้เป็นผู้ผิดนัดโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ย ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์กระทำการในฐานะเป็นนายหน้า ไม่ใช่ตัวแทน ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยพิพากษายกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์ได้ออกเงินค่าซื้อหุ้นให้แก่จำเลย ได้แจ้งให้จำเลยทราบให้มาชำระเงินและมารับใบหุ้น แต่จำเลยไม่นำเงินมาชำระ ถือว่าผิดนัดโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ตั้งแต่วันที่ 15พฤศจิกายน 2520 ถึงวันที่ 3 มกราคม 2521 คิดดอกเบี้ยได้เป็นเงิน 44,281บาท 97 สตางค์ พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงิน 44,281 บาท 97 สตางค์แก่โจทก์ คำขอให้ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องให้ยกเสีย ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาทเฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยใช้แทนเฉพาะทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ที่โจทก์จำเลยขอแถลงการณ์ด้วยวาจา เห็นว่าไม่จำเป็นแก่คดี ให้งด ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ระหว่างวันที่ 1ถึง 15 พฤศจิกายน 2520 จำเลยได้มาติดต่อกับโจทก์ขอให้ซื้อหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้จำเลย ซึ่งการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้นบริษัทที่จะทำการซื้อขายได้ต้องเป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตและเป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์ บุคคลภายนอกจะซื้อขายเองไม่ได้ โจทก์เป็นบริษัทที่ได้รับอนุญาตและเป็นสมาชิกในตลาดหลักทรัพย์การซื้อขายแทนบุคคลภายนอกเป็นการกระทำอย่างตัวแทนค้าต่าง หุ้นที่จำเลยขอซื้อมีรวม 7 บริษัทด้วยกันคือ บริษัทชลประทานซิเมนต์ จำกัด (เจ.ซี.ซี) 4,500 หุ้น เป็นเงิน 1,652,200 บาทบริษัทรามาเทาเวอร์ จำกัด (อาร์.ที.ซี) 1,500 หุ้น เป็นเงิน 450,000 บาท บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (เอส.ซี.ซี) 2,500 หุ้น เป็นเงิน 1,438,400 บาท บริษัทธนาคารกรุงเทพ จำกัด (บี.บี.แอล) 1,600 หุ้น เป็นเงิน 683,600 บาท บริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (บี.เจ.ซี) 300 หุ้น เป็นเงิน 188,400 บาท บริษัทกรรณสูตรจำกัด (เค.ซี.เอ) จำนวน 1,000 หุ้น เป็นเงิน 96,000 บาท บริษัทนิวซิตี้ จำกัด (เอ็น.ซี.บี) จำนวน 500 หุ้น เป็นเงิน 169,500 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 4,678,100บาท โดยจำเลยลงชื่อไว้ในใบคำสั่งซื้อหุ้นตามแบบพิมพ์ของโจทก์ เอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.11 เมื่อซื้อหุ้นได้แล้ว เจ้าหน้าที่ของโจทก์จะกรอกรายการและลงลายมือชื่อในช่องด้านขวามือพร้อมทั้งส่งสำเนาให้จำเลยทราบ โจทก์ได้ชำระเงินจำนวน 4,678,100 บาท ให้แก่ผู้ขาย ได้รับใบหุ้นมาเก็บรักษาไว้ได้แจ้งให้จำเลยทราบเพื่อนำเงินมาชำระ ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2521 จำเลยได้นำเงินมาชำระและรับใบหุ้นไป แต่ไม่ยอมชำระดอกเบี้ย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันจ่ายเงินไป จนถึงวันที่ 3 มกราคม 2521 ซึ่งจำเลยนำเงินมาชำระคิดแล้วเป็นดอกเบี้ยจำนวนเงิน 109,029 บาท 30 สตางค์
จำเลยนำสืบว่า เมื่อเดือนตุลาคม 2520 จำเลยติดต่อให้โจทก์เป็นนายหน้าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้จำเลย ซึ่งตามข้อบังคับเอกสารหมาย ล.5 โจทก์จะเรียกเก็บจากจำเลยได้เฉพาะค่านายหน้าหรือตัวแทนในการซื้อหรือขายหุ้นอัตราร้อยละ 0.5 ของจำนวนเงินที่ซื้อขายจะเรียกเก็บดอกเบี้ยอีกไม่ได้ เว้นแต่จะมีข้อตกลงโดยแจ้งชัด ก่อนซื้อขายหุ้นนายเจริญ ศรีภูธร ลูกค้าคนหนึ่งของโจทก์ได้นำจำเลยไปพบนางสมบูรณ์เดชารัตนานุพงษ์ เจ้าหน้าที่ของโจทก์ ตกลงกันว่าจำเลยซื้อหุ้นด้วยเงินสดเสียเฉพาะค่านายหน้าอัตราร้อยละ 0.5 ของจำนวนเงินค่าหุ้นไม่ต้องเสียดอกเบี้ย และจะชำระเงินค่าหุ้นเมื่อโจทก์แจ้งให้ทราบว่ามีใบหุ้นพร้อมที่จะจ่ายให้จำเลย ถ้าจำเลยไม่มีเงินชำระ โจทก์ยอมให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี การซื้อขายหุ้นรายพิพาทโจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยนำเงินค่าหุ้นไปชำระ คำสั่งซื้อหุ้นตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.11 ไม่มีข้อความใด ๆ ระบุว่าให้นำเงินไปชำระค่าหุ้นและรับใบหุ้น โจทก์เพิ่งทวงถามให้จำเลยชำระเงินค่าหุ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2520 และเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2520เมื่อตรวจสอบบัญชีกันถูกต้องแล้ว จำเลยได้ชำระเงินค่าหุ้นให้โจทก์ในวันที่ 3มกราคม 2521
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยได้ตกลงให้โจทก์ ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์และเป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นนายหน้าซื้อหุ้นด้วยเงินสดในตลาดหลักทรัพย์ ตามแบบพิมพ์คำสั่งซื้อของโจทก์เอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.11 ระหว่างวันที่ 1 ถึง 15 พฤศจิกายน 2520 โจทก์ได้ซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยหลายครั้งเป็นเงินหกล้านบาทเศษและขายหุ้นตามคำสั่งของจำเลยสองล้านบาทเศษ หักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยเป็นหนี้ค่าหุ้นที่โจทก์ซื้อไว้เป็นเงิน 4,678,100 บาท ต่อมาวันที่ 3 มกราคม 2521 จำเลยได้นำเงินจำนวนนี้ไปชำระให้โจทก์พร้อมค่าบริการตามกฎหมายอัตราร้อยละ 0.5 แต่ไม่ยอมชำระดอกเบี้ย คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยหรือไม่ และพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดในปัญหาข้อแรก ตามพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517มาตรา 20 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การซื้อหรือขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ให้กระทำได้เฉพาะหลักทรัพย์จดทะเบียนหรือหลักทรัพย์รับอนุญาต และโดยสมาชิกเท่านั้น” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในการซื้อหรือขายหลักทรัพย์ตามวรรคหนึ่ง สมาชิกจะทำการเป็นนายหน้าของบุคคลใด ๆ หรือเป็นตัวแทนของบริษัทหลักทรัพย์ซึ่งมิได้เป็นสมาชิกก็ได้” เมื่อจำเลยไม่ใช่บริษัทหลักทรัพย์และมิได้เป็นสมาชิก โจทก์จึงมีสิทธิทำการเป็นนายหน้าของจำเลยแต่การที่โจทก์ซื้อขายหลักทรัพย์นั้นไม่ว่าในฐานะนายหน้าหรือตัวแทนก็ต้องอยู่ในข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ข้อ 24 ซึ่งออกตามความในมาตรา 15(8)แห่งพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 มีความว่า”การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์ที่ตกลงซื้อขายกัน ต้องกระทำภายในเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด สมาชิกผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งมอบหลักทรัพย์ที่ตกลงซื้อขายกันนั้น พร้อมทั้งตราสารอันจำเป็นที่จะใช้โอนหลักทรัพย์ที่ตกลงซื้อขายกันนั้น ให้แก่สมาชิกผู้ซื้อภายในเวลาไม่ช้ากว่ากำหนดที่ผู้ซื้อจะต้องชำระราคา แต่ไม่จำต้องส่งให้ก่อนที่สมาชิกผู้ซื้อจะได้ชำระราคาให้ตามความที่กล่าวในวรรคก่อน”
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์แจ้งการซื้อหุ้นตามคำสั่งของจำเลยให้จำเลยทราบทุกครั้ง ถ้าจำเลยไม่ชำระราคาให้โจทก์ด้วยเงินสดหรือมิได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือไว้ตามที่ตกลง โจทก์ในฐานะสมาชิกผู้ซื้อต้องชำระราคาให้สมาชิกผู้ขายไปตามเวลาที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดตามข้อบังคับข้อ 24ข้างต้น โจทก์ชอบที่จะเรียกเงินจำนวนนี้จากจำเลยได้พร้อมด้วยดอกเบี้ย เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยตกลงกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรม ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7, 224 จึงชอบแล้ว
ปัญหาข้อที่สอง จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดหรือไม่นั้น เห็นว่าการที่จำเลยให้โจทก์เป็นนายหน้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ โดยตกลงกันว่าจำเลยซื้อหุ้นด้วยเงินสด เมื่อโจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยได้ในวันที่จำเลยสั่งซื้อ และโจทก์ได้ชำระราคาค่าหุ้นแทนจำเลยไปแล้ว เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาท แทนโจทก์ด้วย