คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3934/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมซึ่งรับฎีกาของผู้ร้องและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฎีกา เนื่องจากคดีเกี่ยวกับผู้ร้องต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสาม จึงมีอำนาจที่กระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง แม้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาภายหลังครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาจะทำให้ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิขอให้ผู้พิพากษารับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม การยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษารับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นสิทธิของผู้ร้องที่จะกระทำเมื่อใดก็ได้ก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา เมื่อผู้ร้องยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและมิได้ดำเนินการเพื่อให้ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างกับขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ และให้ชำระค่าเสียหาเดือนละ1,000 บาทแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากสถานที่เช่า คำขออื่นให้ยก คดีถึงที่สุด

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า บ้านเลขที่ 111/16 หมู่ที่ 11 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทองกรุงเทพมหานคร ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีนำหมายบังคับคดีมาปิดประกาศไว้มิใช่ของจำเลย แต่เป็นบ้านที่ผู้ร้องซื้อมาจากนายอำนวย วรรณวิจิตร์ ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลย ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยและมีอำนาจพิเศษที่จะอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทต่อไป

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกา ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ว่าเมื่อคดีนี้เป็นคดีฟ้องขับไล่ออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย ดังนั้น ผู้ร้องจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่ศาลมีคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องจึงเป็นคำสั่งที่ผิดหลง เห็นสมควรให้เพิกถอนคำสั่งรับฎีกาของผู้ร้องลงวันที่ 17 สิงหาคม 2544 และมีคำสั่งใหม่ว่า ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 จึงไม่รับฎีกา

ผู้ร้องเห็นว่า หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาในวันที่ผู้ร้องยื่นฎีกา ผู้ร้องยังสามารถใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับรองฎีกาต่อไปได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว ทำให้ผู้ร้องเสียสิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาและศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจแก้ไขคำสั่งรับฎีกาลงวันที่ 17 สิงหาคม2544 ได้ ประกอบกับฎีกาของผู้ร้องมีทั้งปัญหาข้อกฎหมาย และปัญหาข้อเท็จจริงโปรดมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 27 กันยายน 2544 โดยให้ถือตามคำสั่งลงวันที่ 17 สิงหาคม 2544 และรับฎีกาของผู้ร้องไว้พิจารณาต่อไป

ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “คดีนี้ผู้ถูกฟ้องขับไล่ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคสาม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาชอบแล้ว ส่วนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับฎีกาของผู้ร้องแล้ว ต่อมาได้มีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมและมีคำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 วรรคหนึ่ง และที่ผู้ร้องอ้างว่าการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวภายหลังครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา ทำให้ผู้ร้องไม่อาจใช้สิทธิขอให้ผู้พิพากษารับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น การยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษารับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้น เป็นสิทธิของผู้ร้องที่จะกระทำเมื่อใดก็ได้ก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกาโดยไม่จำต้องรอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาเสียก่อน เมื่อผู้ร้องยื่นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเข้ามา และมิได้ดำเนินการเพื่อให้ฎีกาของผู้ร้องเป็นฎีกาที่ไม่ต้องห้ามตามกฎหมายก่อนครบกำหนดระยะเวลายื่นฎีกา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าวจึงชอบแล้วให้ยกคำร้อง คืนค่าคำร้องส่วนที่เกิน 40 บาท แก่ผู้ร้อง”

Share