แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
กฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ.2547) ออกตามความใน พ.ร.บ.น้ำบาดาล พ.ศ.2520 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลชำระค่าใช้น้ำบาดาลในแต่ละงวดให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มงวดถัดไป ถือว่าเป็นกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคแรก นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวด มิใช่นับแต่ครบกำหนดตามหนังสือทวงถาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีนายประจญเป็นอธิบดี มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์และได้มอบอำนาจให้นายสมพลฟ้องและดำเนินคดีแทน จำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลเพื่อการอุตสาหกรรมจากกรมทรัพยากรธรณีในเขตท้องที่อำเภอกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์ ใบอนุญาตเลขที่ 57-50939-005 ถึง 57-50939-0011 รวม 7 ฉบับ โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้สูบน้ำจากบ่อบาดาลได้ไม่เกินวันละ 72 ลูกบาศก์เมตร และจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลแก่กรมทรัพยากรธรณีปีละ 4 งวด งวดที่ 1 ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม งวดที่ 2 ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน งวดที่ 3 ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน งวดที่ 4 ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม แต่ละงวดต้องชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มงวดถัดไป ในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 3.50 บาท ของจำนวนน้ำบาดาลที่จำเลยใช้ หากจำเลยไม่ชำระค่าใช้น้ำบาดาลภายในกำหนด จำเลยต้องชำระในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท หรือ 7 บาท แล้วแต่กรณี กรณีไม่อาจคำนวณปริมาณน้ำบาดาลที่ใช้ได้เนื่องจากจำเลยไม่ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำ จำเลยต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลตามปริมาณสูงสุดที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต หลังจากนั้นจำเลยได้ใช้น้ำบาดาลในการอุตสาหกรรมโดยมิได้ติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำบาดาลที่ใช้ และค้างชำระค่าใช้น้ำบาดาลใบอนุญาตละ 183,978 บาท รวม 7 ฉบับ เป็นต้นเงิน 1,287,846 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวด ถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2546 ซึ่งเป็นวันฟ้องเป็นดอกเบี้ย 562,110.15 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,849,956.15 บาท จึงขอให้จำเลยชำระค่าใช้น้ำบาดาลจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,287,846 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องเรียกค่าใช้น้ำบาดาลในลักษณะค่าธรรมเนียมของทางราชการมีอายุความ 2 ปี แต่โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ต้องชำระ จึงขาดอายุความ จำเลยได้รับใบอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2539 และจำเลยมิได้ใช้น้ำบาดาลและค้างชำระค่าใช้น้ำตั้งแต่งวดที่ 2 ปี 2539 ถึงงวดที่ 3 ปี 2541 รวมเป็นเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยยื่นคำขอใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลรวม 7 บ่อ เพื่อเดินเครื่องจักรผลิตแป้งมัน แต่จำเลยยังมิได้มีการติดตั้งมิเตอร์วัดปริมาณน้ำที่ใช้เพราะยังมิได้เดินเครื่องจักรโรงงานแป้งมัน จำเลยจึงมิได้สูบน้ำบาดาลมาใช้ แต่จำเลยคงทดลองเดินเครื่องจักรโรงงานตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2539 ถึงเดือนพฤษภาคม 2540 เป็นเวลา 7 เดือน เท่านั้น หลังจากนั้นมิได้เดินเครื่องจักรโรงงานผลิตแป้งมันอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 979,120.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 663,390 บาท นับแต่วันที่ 14 มิถุนายน 2546 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้จำเลยชดใช้เท่ากับทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,287,846 บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 21 เมษายน 2546 จนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ได้ว่า โจทก์มีฐานะเป็นนิติบุคคลโดยเป็นกรมในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับดูแลเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำบาดาลให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยน้ำบาดาล โดยออกใบอนุญาตและจัดเก็บค่าใช้น้ำบาดาลให้เป็นไปตามกฎหมาย จำเลยมีฐานะเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีวัตถุประสงค์ในการผลิตแป้งมัน และจำเลยได้รับอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 7 บ่อ ตามใบอนุญาตที่ 57-50939-005 ถึง 57-50939-0011 โดยออกใบอนุญาตให้เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2539 และสิ้นอายุวันที่ 10 มิถุนายน 2549 ตามสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตเอกสารหมาย จ.11 โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้สูบน้ำบาดาลได้บ่อละไม่เกินวันละ 72 ลูกบาศก์เมตร หลังจากจำเลยได้รับอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลแล้ว จำเลยไม่เคยชำระค่าน้ำบาดาลแก่โจทก์ตลอดมา แต่จำเลยรับว่าเป็นหนี้ค่าน้ำบาดาลแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2539 ถึงวันที่ 27 พฤษภาคม 2540 รวมเป็นเงิน 663,390 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าใช้น้ำบาดาลแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์คงมีเพียงพยานหลักฐานใบอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลรวม 7 ฉบับ เท่านั้น โจทก์ก็ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนให้รับฟังได้ว่าจำเลยมีการใช้น้ำบาดาลตั้งแต่เมื่อใดจนถึงวันใด ทั้งเอกสารการใช้กระแสไฟฟ้าของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.16 ก็มีความผิดพลาดตามที่นายทวี และนายสมพล เบิกความ เห็นว่าจำเลยได้รับใบอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลจากอุตสาหกรรมจังหวัดบุรีรัมย์ในขณะนั้น โดยได้รับใบอนุญาตเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2539 ถึงวันที่ 10 มิถุนายน 2549 โดยจำเลยนำสืบรับว่า นับแต่ได้รับอนุญาตให้ใช้น้ำบาดาลจำเลยไม่เคยชำระค่าใช้น้ำบาดาลแก่โจทก์ โจทก์โดยนายสมพล ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า โจทก์คิดค่าน้ำจากจำเลยตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2539 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2539 เป็นค่าน้ำงวดที่ 2 ปี 2539 รวมเวลา 20 วัน โดยจำเลยมิได้ติดตั้งมิเตอร์เมื่อคิดคำนวณค่าใช้น้ำบาดาลในอัตราสูงสุดตามที่กำหนดไว้ในใบอนุญาต โดยคิดลดหย่อนตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 จำเลยใช้น้ำไปจำนวน 1,080 ลูกบาศก์เมตร และจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้น้ำภายใน 30 วัน แต่จำเลยมิได้นำเงินมาชำระจึงคิดค่าใช้น้ำในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 ในอัตราวันละ 72 ลูกบาศก์เมตร รายละเอียดปรากฏตามบัญชีค่าใช้น้ำบาดาลตั้งแต่งวดที่ 2/2539 ถึงงวดที่ 3/2541 เอกสารหมาย จ.14 เหตุที่โจทก์คิดคำนวณค่าใช้น้ำบาดาลจากจำเลย 10 งวด โดยคิดคำนวณดูจากการใช้กระแสไฟฟ้าของจำเลย โดยหลังจากสิ้นงวดที่โจทก์คิดคำนวณค่าใช้น้ำบาดาลแล้วจำเลยถูกตัดไฟฟ้าตามใบขอรับรองค่าไฟฟ้าจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเอกสารหมาย จ.16 และประกอบกับการคิดคำนวณค่าใช้น้ำบาดาลจากรายการที่จำเลยประมาณไว้ว่าจำเลยใช้น้ำถึงวันละ 460 ลูกบาศก์เมตร ตามรายละเอียดเอกสารหมาย จ.17 แต่จากคำเบิกความของนายสมจิตร พยานโจทก์ซึ่งทำงานอยู่ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาอำเภอกระสัง ตำแหน่งหัวหน้าแผนกช่างเบิกความว่า พยานเป็นผู้ไปติดตั้งมิเตอร์กระแสไฟฟ้าที่บริษัทจำเลยเป็นมิเตอร์แบบธุรกิจและจะมีการอ่านค่ากระแสไฟฟ้าทุกวันที่ 25 ของเดือน หลังจากนั้นจะส่งใบแจ้งหนี้ไปเรียกเก็บเงินจากจำเลย ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2540 จำเลยยื่นคำร้องเลขที่ 638 ขอให้ตัดฝากมิเตอร์ชั่วคราวเนื่องจากจำเลยไม่มีวัตถุดิบป้อนโรงงานและขอหยุดการผลิตแต่ยังคงขอใช้แสงสว่างรอบโรงงานและบ้านพักตามหนังสือรับรองโหลดการใช้ไฟและรับรองขอใช้ไฟกับหม้อแปลงลูกเดิม ภายหลังนายสมจิตรจึงออกไปตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการใช้ไฟแสงสว่างรอบโรงงานและบ้านพักและเห็นควรให้มีการตัดฝากมิเตอร์ตามคำร้องโดยลดขนาดมิเตอร์จากเดิม 20/5 แอมป์ เหลือ 10/5 แอมป์ ตามเอกสารหมาย ล.1 และนายสมพงษ์ กรรมการบริษัทจำเลยเบิกความว่า เมื่อบริษัทจำเลยเริ่มเดินเครื่องจักรเพื่อผลิตแป้งมันตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2539 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2540 จึงได้หยุดการผลิตเนื่องจากหมดฤดูกาลเก็บเกี่ยวหัวมันสำปะหลังทั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตล้าสมัยและต้องใช้ต้นทุนสูงประมาณ 10,000,000 บาท จึงชะลอการผลิตและได้ไปขอตัดฝากมิเตอร์ต่อทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอกระสัง และระหว่างที่บริษัทจำเลยเริ่มเดินเครื่องจักรนั้นมีการใช้กระแสไฟฟ้าตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2539 เป็นค่ากระแสไฟฟ้า 4,417 บาท จึงถึงอัตราค่าไฟสูงสุดเดือนละ 99,913 บาท เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2540 ตามใบเสร็จรับเงินค่ากระแสไฟฟ้าของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอกระสังเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.7 หลังจากขอตัดฝากมิเตอร์แล้วค่ากระแสไฟฟ้าของจำเลยเมื่อเดือนมิถุนายน 2540 จนถึงเดือนกันยายน 2541 ลดลงเหลือเดือนละประมาณ 4,000 ถึง 5,000 บาท ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย ล.8 และหนังสือรับรองของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอกระสังเอกสารหมาย ล.11 ซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของนายสว่าง พยานโจทก์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอำเภอกระสังเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อบริษัทจำเลยขอตัดฝากมิเตอร์ชั่วคราวเนื่องจากไม่มีวัตถุดิบป้อนโรงงานและขอหยุดการผลิต ตามบันทึกการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเอกสารหมาย ล.1 แล้ว การใช้ไฟฟ้าของบริษัทจำเลยมีปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าลดน้อยลง ซึ่งมีอัตราค่าใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าการใช้ไฟฟ้าที่โจทก์อ้างตามเอกสารหมาย จ.16 เนื่องจากเกิดการคลาดเคลื่อนและยังตอบทนายโจทก์ถามติงว่า เอกสารหมาย จ.16 ผิดพลาดเพราะมีการจดเลขมิเตอร์และประมาณการใช้ไฟฟ้าผิดมิเตอร์เป็นข้อมูลที่จดจากเครื่องมิเตอร์เครื่องอื่นมา ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าภายหลังจากที่จำเลยได้ตัดฝากมิเตอร์แล้วการใช้กระแสไฟฟ้าของจำเลยมีปริมาณลดลงตามเอกสารหมาย ล.11 และปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าเดือนละประมาณ 4,000 ถึง 5,000 บาท ตามคำเบิกความของนายสว่างยืนยันว่าไม่สามารถใช้เดินเครื่องจักรในโรงงานได้ จึงเชื่อว่าจำเลยมิได้ใช้เครื่องจักรในการผลิตแป้งมันนับแต่ขอตัดฝากมิเตอร์ไฟฟ้าชั่วคราวตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2540 ดังนั้น ที่นายสมพลเบิกความว่าเหตุที่โจทก์คิดคำนวณค่าใช้น้ำบาดาลจากจำเลย 10 งวด โดยคิดคำนวณจากการใช้กระแสไฟฟ้าของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.16 จึงไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ดีกว่าพยานจำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยมิได้ใช้น้ำบาดาลนับแต่มีการตัดฝากมิเตอร์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2540 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาชอบแล้วที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระค่าใช้น้ำบาดาลแก่โจทก์เต็มตามฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากต้นเงินค่าใช้น้ำบาดาลที่ค้างชำระแต่ละงวดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ.2537) กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลปีละ 4 งวด โดยในงวดที่ 2 ปี 2539 จำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าน้ำเป็นเงิน 5,400 บาท ภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มงวดถัดไป แต่จำเลยก็ไม่ชำระเป็นการผิดนัด โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ส่วนจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพราะมีการคิดอัตราค่าใช้น้ำบาดาลแพงขึ้นอันเป็นเบี้ยปรับเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของต้นเงินแล้ว จึงถือเป็นค่าเสียหายซ้ำซ้อนกันไม่เป็นธรรม เห็นว่าการที่จำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าน้ำบาดาลซึ่งตามกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ.2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ.2520 กำหนดให้คิดค่าน้ำบาดาลลูกบาศก์เมตรละ 3.50 บาท ภายใน 30 วันนับแต่วันเริ่มงวดถัดไป ถ้าชำระภายในกำหนดดังกล่าว ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้น้ำบาดาลสำหรับงวดนั้นในอัตราลูกบาศก์เมตรละ 5 บาท นั้นเป็นไปตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ.2520 เมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงินและจำเลยไม่ชำระค่าใช้น้ำบาดาลให้โจทก์ตามกำหนดเวลาดังกล่าวจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัด โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรก จึงมิใช่เป็นการคิดค่าเสียหายซ้ำซ้อนดังที่จำเลยฎีกา และเมื่อกฎกระทรวงฉบับที่ 6 (พ.ศ.2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ.2520 กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตใช้น้ำบาดาลชำระค่าใช้น้ำบาดาลในแต่ละงวดให้ครบถ้วนภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มงวดถัดไป ถือว่าเป็นกำหนดเวลาชำระหนี้ตามวันแห่งปฏิบัติ เมื่อจำเลยมิได้ชำระหนี้ตามกำหนด จำเลยย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัด นับแต่วันผิดนัดในแต่ละงวดตั้งแต่งวดที่ 2 ปี 2539 จนถึงงวดที่ 2 ปี 2540 ตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาที่ศาลอุทธรณ์ให้โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่ครบกำหนดตามหนังสือทวงถามนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
อนึ่ง จำเลยฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่ให้ชำระเงิน 1,287,846 บาท โดยขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเพียง 663,390 บาท ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงมีเพียง 624,456 บาท การที่จำเลยชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมจำนวนทุนทรัพย์ 1,287,486 บาท จึงเป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมา ต้องคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินให้แก่จำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คืนค่าขึ้นศาลที่เกินมาแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับไปทั้งสองฝ่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3