คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8680/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสองกำหนดจำนวนเนื้อที่ดินที่ตกลงซื้อกันไว้ด้วย แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองว่า ให้ถือเอาจำนวนเนื้อที่ดินเป็นสาระสำคัญ จึงมิใช่การซื้อขายเหมาแปลง เมื่อจำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินน้อยกว่าที่ตกลงซื้อขายกัน และโจทก์ทั้งสามเลือกรับที่ดินที่จำเลยทั้งสองส่งมอบ โจทก์ทั้งสามจึงต้องชำระราคาค่าที่ดินตามส่วนของที่ดินที่ได้รับมอบเท่านั้น สำหรับเงินค่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสามชำระแก่จำเลยทั้งสองเกินส่วนไป แม้จะถือว่าเป็นเงินที่จำเลยทั้งสองได้มาโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้และจำต้องคืนแก่โจทก์ทั้งสามฐานลาภมิควรได้ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกเงินดังกล่าวคืนเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาที่โจทก์ทั้งสามรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน ฟ้องโจทก์ทั้งสามจึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 2,093,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,196,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยทั้งสองขายที่ดินโฉนดเลขที่ 5199 ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 3 งาน แก่โจทก์ทั้งสามเป็นเงิน 15,000,000 บาท ต่อมาทางราชการกรมโยธาธิการเวนคืนที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วนเพื่อสร้างถนนเป็นเนื้อที่ดิน 1 ไร่ 3 งาน 86.8 ตารางวา หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสามยื่นคำร้องให้สำนักงานที่ดินรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสามจึงทราบว่าจำเลยทั้งสองขายที่ดินให้โจทก์ทั้งสามโดยมีเนื้อที่ดินขาดหายไปจำนวน 119.6 ตารางวา โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินที่โจทก์ทั้งสามชำระราคาที่ดินแก่จำเลยทั้งสองเกินไปจากที่ตกลงกันตามสัญญาคืนเป็นคดีนี้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสอง เป็นการซื้อขายโดยกำหนดจำนวนเนื้อที่ดิน 3 ไร่ 3 งาน แสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสองว่า การซื้อขายที่ดินถือเอาจำนวนเนื้อที่ดินเป็นสาระสำคัญ จึงมิใช่การเหมาแปลงตามที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ เมื่อจำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินน้อยไปกว่าที่ตกลงซื้อขายกันไว้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น หากว่าได้ระบุจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมดไว้ และผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยหรือมากไปกว่าที่ได้สัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสียหรือจะรับเอาไว้ และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก” ดังนั้น เมื่อโจทก์ทั้งสามเลือกรับที่ดินที่จำเลยทั้งสองส่งมอบน้อยไปกว่าที่ตกลงกันไว้ โจทก์ทั้งสามจึงชำระราคาที่ดินได้ตามส่วนของราคาที่ดิน เมื่อโจทก์ทั้งสามชำระเงินค่าที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสองเกินส่วนไปและโจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกเงินค่าที่ดินส่วนที่โจทก์ทั้งสามชำระเกินไปคืน แม้จำเลยทั้งสองไม่อาจอ้างกฎหมายที่จะรับเงินที่ได้รับเกินไปได้โดยชอบและจำต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสามฐานลาภมิควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา 406 ก็ตาม แต่โจทก์ทั้งสามรู้ว่าเนื้อที่ดินที่โจทก์ทั้งสามซื้อจากจำเลยทั้งสองขาดหายไป 119.6 ตารางวา ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2546 โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกเงินคืนเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 จึงพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์ทั้งสามรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกทรัพย์คืน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องว่า ฟ้องโจทก์ทั้งสามขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419 ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ทั้งสามฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการยกข้อกล่าวอ้างขึ้นมาใหม่ เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share