แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การวินิจฉัยพยานหลักฐานซึ่งถือว่าเป็นคำซัดทอดระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227/1 ต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนี้โดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน เมื่อปรากฏว่าพยานโจทก์มีประวัติความประพฤติในทางลักทรัพย์และเบิกความไม่อยู่กับร่องกับรอย จึงเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดที่ถือว่าไม่มีน้ำหนักอันหนักแน่นหรือมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือ ไม่พอรับฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 334, 335, 357 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ลักเอาไปเป็นเงิน 36,682.20 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 36,682.20 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 2 สำหรับข้อหาลักทรัพย์ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังว่า เด็กชายบุญหลายปีนรั้วและปีนหน้าต่างเข้าไปในบ้านพักของนายสมชาย ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการไร่แม่ฟ้าหลวงของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ผู้เสียหายที่ 2 แล้วลักเอากล้องถ่ายรูปดิจิตอล 1 กล้อง ของผู้เสียหายที่ 2 ไป ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 ตื่นขึ้นมาร้องถามว่า “บุญหลายใช่ไหม” เด็กชายบุญหลายวิ่งหนีและปีนรั้วออกไป รองเท้าฟองน้ำของเด็กชายบุญหลายติดอยู่ที่รั้วจึงถูกจับได้และถูกเจ้าพนักงานตำรวจสอบถาม เด็กชายบุญหลายรับว่าลักกล้องถ่ายรูปไปจริงและไปขายที่ร้านเด่นห้าโฟโต้ โดยจำเลยเป็นบุคคลที่รับซื้อกล้องถ่ายรูปไว้ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจนำหมายค้นไปตรวจค้นที่ร้านห้องภาพเด่นห้าโฟโต้ของจำเลยปรากฏว่าไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จำเลยมอบตัว ถูกเจ้าพนักงานตั้งข้อหาว่าร่วมกับเด็กชายบุญหลายลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 2 ไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้นหลังเกิดเหตุลักทรัพย์ จำเลยและเด็กชายบุญหลายร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกคนร้ายร่วมกันลักเอาไปไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยให้การปฏิเสธ คดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกับเด็กชายบุญหลายทำความผิดฐานรับของโจรตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์มีเด็กชายบุญหลายเป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้ลักทรัพย์กล้องถ่ายรูปของผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อถูกจับได้ก็ให้การรับสารภาพและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปชี้ตัวจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของร้านห้องภาพเด่นฟ้าโฟโต้ว่าเป็นผู้ที่พยานขายกล้องถ่ายรูปให้ เห็นว่า พยานปากนี้เป็นผู้กระทำผิดฐานลักทรัพย์ และโจทก์เคยฟ้องจำเลยและเด็กชายบุญหลายเป็นจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 4550/2546 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4872/2546 และศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์จึงไม่ต้องห้ามที่จะอ้างเด็กชายบุญหลายเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 232 อย่างไรก็ตามคำให้การของเด็กชายบุญหลายในชั้นสอบสวนก็ดีและคำเบิกความของเด็กชายบุญหลายในชั้นพิจารณาก็ดี ที่ระบุว่าจำเลยเป็นบุคคลที่รับซื้อกล้องถ่ายรูปไว้มีลักษณะเป็นถ้อยคำของผู้ร่วมกระทำความผิดฐานร่วมกันรับของโจรตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นคำซัดทอดตามความหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 ซึ่งในการวินิจฉัยพยานหลักฐานชนิดนี้ ศาลจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนี้โดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีหรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน แม้ในคำเบิกความตอนต้นเด็กชายบุญหลายจะตอบว่านำกล้องถ่ายรูปไปขายให้แก่จำเลย แต่ก็ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ตอนนำไปขายครั้งแรกจำเลยไม่ยอมซื้อ ต่อมาไปขายครั้งที่ 2 จึงซื้อ และในตอนต่อมาก็ตอบคำถามค้านอีกว่าไม่ได้ขายกล้องถ่ายรูปให้แก่เจ้าของร้านแต่ได้ขายให้กับคนอื่น แสดงให้เห็นถึงคำพยานที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย จนอัยการผู้แทนโจทก์ต้องถามติงซึ่งพยานก็ตอบยืนยันว่าไม่ได้ขายกล้องให้จำเลย แต่ขายให้กับคนอื่นที่บริเวณหน้าร้านของจำเลย คำพยานของเด็กชายบุญหลายซึ่งมีประวัติความประพฤติในทางลักทรัพย์และเบิกความไม่ตรงกับร่องกับรอยเช่นนี้ และเมื่อเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดจึงไม่มีน้ำหนักอันหนักแน่นหรือมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือ ส่วนพยานหลักฐานโจทก์อื่นก็ไม่ได้เป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์เกี่ยวกับการกระทำความผิดโดยตรง เพียงแต่เป็นผู้นำเด็กชายบุญหลายมาชี้ตัวผู้ที่เด็กชายบุญหลายให้การไว้ว่าได้รับซื้อกล้องถ่ายรูปไว้ และจำเลยให้การปฏิเสธ เมื่อค้นร้านของจำเลยไม่พบของกลาง จึงไม่มีน้ำหนักให้นำมารับฟังประกอบเพื่อลงโทษจำเลยได้ พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยรับซื้อกล้องถ่ายรูปของผู้เสียหายที่ 1 ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน