แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องสับสน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร และครอบครองที่ดินของโจทก์อย่างไรเขตที่อ้างว่าจำเลยบุกรุกอยู่ตรงไหน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าคำฟ้องเคลือบคลุม แม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าคำฟ้องเคลือบคลุมแต่ก็อ้างเหตุแห่งการเคลือบคลุมว่าฟ้องโจทก์มีได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขาดประโยชน์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับเหตุที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1102 ซึ่งติดกับที่ดินโฉนดที่ 6267 ของนางบุญนาค ศุขประมูล โดยมีลำกระโดงคั่นตลอดแนวและถือเส้นกึ่งกลางลำกระโดงเป็นแนวเขต และโจทก์ทำรั้วสังกะสีไว้ตามแนวดังกล่าว ต่อมานางบุญนาคยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ขอรังวัดสอบเขตที่ดินของตนและนำชี้เขตรุกล้ำแนวรั้วเข้ามาในที่ดินของโจทก์โจทก์คัดค้านเมื่อโจทก์ขอรังวัดที่ดินจำเลยที่ 1 ก็คัดค้านและชี้แนวเขตรุกล้ำเข้ามาในที่ดินโจทก์อีก ต่อมาจำเลยที่ 1 สมคบกับจำเลยที่ 2 ก่อสร้างตึกรุกล้ำแนวรั้วเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ทำให้รั้วโจทก์เสียหายเป็นเงิน 3,000 บาทขอให้พิพากษาว่าที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 1102 มีเขตตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ห้ามจำเลยที่ 1 คัดค้านการรังวัดสอบเขตและปักหลักเขตตามแนวดังกล่าวและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า คดีโจทก์ขาดอายุความในการรังวัดสอบเขตโจทก์นำชี้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยที่ 1 และสร้างรั้วสังกะสีรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของจำเลยที่ 1 ยาวตลอดที่ดินโจทก์เนื้อที่ 16 ตารางวาเศษ เป็นราคา60,000 บาท ขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับให้โจทก์รื้อรั้วสังกะสีดังกล่าวออกไป
จำเลยที่ 2 ให้การว่า ปลูกสร้างอาคารในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิได้รุกล้ำที่ดินโจทก์ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้มีรายการละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขอดประโยชน์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกับคำฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินโจทก์มีเขตตามแนวเส้นสีแดงในแผนที่วิวาท ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำออกไปจากที่ดินโจทก์ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องสับสน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไรและครอบครองที่ดินของโจทก์อย่างไร เขตที่อ้างว่ามีการบุกรุกอยู่ตรงไหนจำเลยทั้งสองไม่อาจเข้าใจได้ ทำให้จำเลยทั้งสองเสียเปรียบและหลงข้อต่อสู้นั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้เลยว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ส่วนจำเลยที่ 2 แม้จะให้การว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม แต่ก็อ้างเหตุแห่งการเคลือบคลุมว่าคำฟ้องของโจทก์มิได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขาดประโยชน์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับเหตุที่จำเลยที่ 1 อ้างอิงในฎีกาจึงถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยข้อนี้ให้ ฯลฯ
ในปัญหาว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในเส้นสีเขียวในแผนที่วิวาทส่วนที่เลยแนวรั้วสังกะสีเข้าไปในที่ดินโฉนดที่ 1102 ของโจทก์ ฯลฯ หรือไม่นั้น เห็นว่าการที่จะได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยทางครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินโฉนดที่ 1102 ของโจทก์เลยเพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 นำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วสังกะสีเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็ได้คัดค้าน และเมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินของตนบ้าง จำเลยที่ 1 ไประวังแนวเขตก็ได้ชี้ว่าเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 อยู่เลยแนวรั้วสังกะสีเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้การขอรังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนดดังกล่าวทั้งสองแปลงจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองที่ดินตามพื้นที่สีเขียวตามแผนที่วิวาทส่วนที่เลยแนวรั้วสังกะสีซึ่งเป็นเขตติดต่อของที่ดินเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ฯลฯ
พิพากษายืน.