แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางที่พิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมเงินเพิ่มแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันพ้นกำหนด 3 เดือน นับจากวันฟังคำพิพากษานี้จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งหมายถึงนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางนั้น เมื่อได้ความว่าคดีนี้มิได้ถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ. 2475 มาตรา 39 วรรคสอง ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจึงพิพากษาให้จำเลยคืนเงินภาษีภายใน 3 เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าไม่คืนให้ชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือน จนกว่าจะชำระเสร็จ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของจำเลยทั้งสองที่ให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2542 เป็นเงิน192,000 บาท และขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ที่ให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2542 เป็นเงิน 106,562บาท และให้จำเลยที่ 1 คืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดิน ส่วนที่โจทก์ชำระเกินไปจำนวน 92,543 บาท แก่โจทก์ ภายในกำหนด 3 เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาเป็นต้นไป หากไม่คืนภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 เสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของจำนวนเงิน 92,543 บาท นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือนเป็นต้นไป
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2542 ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 โดยแจ้งว่าได้รับค่าเช่าส่วนใหญ่ห้องละ 1,000 บาท ต่อห้องต่อเดือน และโจทก์มีห้องว่างจำนวนหลายห้องในเดือนต่าง ๆของปี 2541 จากการตรวจสอบของพนักงานเจ้าหน้าที่พบว่าโจทก์เรียกและรับค่าเช่าจากผู้เช่าห้องพักในอัตราไม่ต่ำกว่า 3,000 บาทต่อห้องต่อเดือนอีกทั้งห้องว่างที่โจทก์แจ้งไว้ก็มิได้ว่างอย่างที่โจทก์แจ้งแต่มีผู้เช่าอยู่ รายการค่าเช่าที่โจทก์แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และคำฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าโจทก์ได้รับค่าเช่าปีดังกล่าวเป็นเงินทั้งสิ้น 112,150 บาท เป็นการฟ้องเท็จ เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ คณะเทศมนตรีตำบลปากช่องคำนึงถึงการบริหารงานจัดเก็บภาษีในท้องถิ่นก็ได้ยอมลดค่ารายปีของโจทก์จากเดิม 1,536,000 บาท เหลือ 852,502 บาท(ที่ถูกต้องตามเอกสาร ล.1 แผ่นที่ 92 เหลือ 852,946 บาท) ค่าภาษีลดลงจาก 192,000 บาท เหลือ 106,562 บาท ซึ่งเป็นคุณแก่โจทก์อย่างยิ่งแล้ว การฟ้องเรียกคืนภาษีและดอกเบี้ยของโจทก์ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้แก้ไขการประเมินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2542 ตามใบแจ้งเลขที่ 31 ลงวันที่ 1ธันวาคม 2542 และคำชี้ขาดเลขที่ 7 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2542เป็นให้โจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับปี 2542 เป็นเงิน74,250 บาท เงินเพิ่ม 1,856.24 บาท และให้จำเลยทั้งสองคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมค่าเพิ่ม (ที่ถูกเงินเพิ่ม) แก่โจทก์จำนวน33,119.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันพ้นกำหนด 3 เดือน นับจากวันฟังคำพิพากษานี้จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “อนึ่งที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมเงินเพิ่มแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันพ้นกำหนด 3 เดือนนับจากวันฟังคำพิพากษาจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ซึ่งหมายถึงนับแต่วันฟังคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลางเมื่อได้ความว่าคดีนี้มิได้ถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 39 วรรคสอง ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง คือให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ส่วนจำเลยที่ 2เป็นนายกเทศมนตรีมีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินพร้อมเงินเพิ่มภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าไม่คืนภายในกำหนดดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 3 เดือนเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง