คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 กับพวกที่นั่งรถมาด้วยกัน แต่จำเลยที่ 1 ได้โยนทิ้งเสียก่อนถึงด่านตรวจรถต่อมาจำเลยที่ 1 ไปตามจำเลยที่ 2 มาช่วยค้นหาและจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมขณะค้นหาเมทแอมเฟตามีน แต่หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบเมทแอมเฟตามีน เจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ยึดไว้เป็นของกลางทันที การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงสิ้นสุดลงแล้ว การที่จำเลยที่ 2 มาช่วยจำเลยที่ 1 ค้นหาเมทแอมเฟตามีนจึงเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกภายหลังการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เพราะการเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ต้องช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเสพเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 เข้าสู่ร่างกายจำนวนน้ำหนักและวิธีการใดไม่ปรากฏชัดและจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 1 คน ที่หลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 922 เม็ด น้ำหนัก 85,870 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 25.748 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33, 83, 91 ริบของกลาง บวกโทษจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1767/2542 และ 2470/2542 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำเลยที่ 4 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2273/2542 ของศาลชั้นต้น

จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ กับรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ และในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสอง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 15 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 16 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษกึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1767/2542 และ 2470/2542 ของศาลชั้นต้นแล้วเป็นจำคุก 8 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15วรรคสอง, 57, 66 วรรคหนึ่ง, 91 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 10 ปี ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 11 ปี ทางนำสืบและคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยทั้งสองและยึดได้เมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท1 จำนวน 922 เม็ด น้ำหนักรวม 85.870 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้25.748 กรัม คดีสำหรับจำเลยที่ 1 เป็นอันถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ซึ่งพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจโทประพรรณศรีมรกตมงคล นายดาบตำรวจวิชเนตร เชษฐ์สิงห์ และสิบตำรวจโทสมศักดิ์ทองรอง เป็นพยานเบิกความว่า ที่พยานโจทก์ทั้งสามตรวจพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยที่ 1 กับพวกโยนทิ้งไว้บริเวณไหล่ทางจึงยึดไว้เป็นของกลางและคาดว่าจำเลยที่ 1 กับพวกจะย้อนกลับมาเอาเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจึงเลิกตั้งด่านตรวจแล้ววางแผนจับกุมโดยดักซุ่มบริเวณบ้านราษฎรฝั่งตรงข้ามกับบริเวณที่ตรวจพบเมทแอมเฟตามีน จนกระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษมีรถยนต์กระบะเข้ามาจอดที่บ้านจำเลยที่ 2 ซึ่งอยู่ใกล้บริเวณดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกช่วยกันใช้ไฟฉายส่องหาสิ่งของในบริเวณดังกล่าวนานประมาณ10 นาที พยานโจทก์ทั้งสาม จึงออกมาแสดงตนจับกุมจำเลยทั้งสองไว้ได้ข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า ก่อนที่พยานโจทก์ทั้งสามจะตรวจพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ได้มีการตั้งด่านตรวจจบถนนสายน้ำยืน-นาจะหลวย ตั้งแต่เวลา18 นาฬิกา หลังจากนั้นในเวลา 19.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์กระบะผ่านด่านตรวจโดยก่อนถึงด่านตรวจได้ชะลอความเร็วรถและแล่นเข้ามายังด่านตรวจอย่างช้า ๆ จึงเรียกให้หยุดรถ แล้วขอตรวจค้นแต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จึงให้ผ่านไป พยานโจทก์ทั้งสามรู้จักจำเลยที่ 1 เคยทราบประวัติจำเลยที่ 1 ว่าเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ จึงสงสัยว่าจำเลยที่ 1อาจมียาเสพติดให้โทษติดรถมาแต่โยนทิ้งเสียก่อนรถแล่นถึงด่านตรวจเมื่อไปตรวจดูบริเวณที่จำเลยที่ 1 ชะลอความเร็วรถจึงพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 กับพวกที่นั่งรถมาด้วยกัน แต่จำเลยที่ 1 ได้โยนทิ้งเสียก่อน ต่อมาจำเลยที่ 1 ไปตามจำเลยที่ 2 มาช่วยค้นหาเมทแอมเฟตามีนของกลางและจำเลยที่ 2 ถูกจับกุมขณะค้นหาเมทแอมเฟตามีนของกลางก็ตามแต่ข้อเท็จจริงก็ได้ความต่อไปว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง เจ้าพนักงานตำรวจก็ได้ยึดไว้เป็นของกลางทันทีจำเลยที่ 2 มาช่วยจำเลยที่ 1 ค้นหาเมทแอมเฟตามีนของกลางหลังจากที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดไว้แล้ว จึงเห็นได้ว่า เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบและยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางไป การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงสิ้นสุดลงแล้วการที่จำเลยที่ 2 มาช่วยจำเลยที่ 1 ค้นหาเมทแอมเฟตามีนของกลางจึงเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกภายหลังการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1ดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เพราะการเป็นผู้สนับสนุนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ต้องช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดเท่านั้น เมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนดังกล่าวแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยที่ 2 หรือฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้ออื่น ๆ ต่อไปที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share