แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำบรรยายฟ้องใดจะชัดเจนหรือไม่ เพียงใด จำต้องพิจารณาเหตุแห่งข้ออ้างทั้งหลายประกอบเอกสารที่แนบไว้ท้ายคำฟ้องว่าเพียงพอให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาหรือไม่ ทั้งต้องไม่มีผลกระทบต่อการต่อสู้คดีของจำเลย
คำฟ้องของโจทก์แม้เป็นกรณีที่ขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยไว้และผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไร อันเป็นเหตุให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ถือเป็นสาระสำคัญในเรื่องการบรรยายฟ้องก็ตาม แต่โจทก์บรรยายคำฟ้องไว้แล้วว่าจำเลยรับประกันภัยรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน จ – 9529 กรุงเทพมหานคร ไว้ในขณะเกิดเหตุ วันเกิดเหตุ ค. ขับรถยนต์แท็กซี่คันดังกล่าวโดยประมาทชนรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุ ค. ให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นฝ่ายประมาท ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีท้ายคำฟ้อง โดยเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่า ค. ยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รถยนต์ของ ส. โดยมอบให้จำเลยเป็นผู้ใช้แทนทั้งหมด เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวแล้ว เพียงพอให้เข้าใจว่าสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ประสงค์ให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์แท็กซี่ไว้จาก ค. ผู้เอาประกันภัย ส่วนปัญหาว่า ค. เป็นผู้เอาประกันภัยอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องร่วมรับผิดหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยในชั้นพิจารณา นอกจากนั้นจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองกรมธรรม์ประกันภัยจึงสามารถนำกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวมาตรวจสอบเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย โดยไม่จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากฟ้องโจทก์อีก ข้อที่ว่าจำเลยรับประกันภัยไว้จากผู้ใด จึงเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วและเป็นเพียงรายละเอียดที่คู่ความสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ส่วนในเรื่องนิติสัมพันธ์นั้น เมื่อฟ้องโจทก์เป็นที่เข้าใจได้ว่าขอให้จำเลยรับผิดในการทำละเมิดของ ค. ผู้เอาประกันภัย โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้ทำละเมิดอีก ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 142,078.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า คำบรรยายฟ้องใดจะชัดเจนหรือไม่ เพียงใด จำต้องพิจารณาเหตุแห่งข้ออ้างทั้งหลายประกอบเอกสารที่แนบไว้ท้ายคำฟ้องว่าเพียงพอให้เข้าใจสภาพแห่งข้อหาหรือไม่ ทั้งต้องไม่มีผลกระทบต่อการต่อสู้คดีของจำเลย เมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์แล้วแม้เป็นกรณีที่ขอให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัยไว้และผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไร อันเป็นเหตุให้ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ถือเป็นสาระสำคัญในเรื่องการบรรยายฟ้องก็ตาม แต่โจทก์บรรยายคำฟ้องไว้แล้วว่าจำเลยรับประกันภัยรถยนต์แท็กซี่หมายเลขทะเบียน จ – 9529 กรุงเทพมหานคร ไว้ในขณะเกิดเหตุ วันเกิดเหตุนายคำฝาน ขับรถยนต์แท็กซี่คันดังกล่าวโดยประมาทชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุนายคำฝานให้การรับสารภาพต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นฝ่ายประมาท ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีท้ายคำฟ้อง โดยเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุว่านายคำฝานยอมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่รถยนต์ของนายคณิตสันติ์โดยมอบให้จำเลยเป็นผู้ใช้แทนทั้งหมด เมื่อพิจารณาคำฟ้องประกอบเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวแล้ว เพียงพอให้เข้าใจว่าสภาพแห่งข้อหาของโจทก์ประสงค์ให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์แท็กซี่ไว้จากนายคำฝานผู้เอาประกันภัย ส่วนปัญหาว่านายคำฝานเป็นผู้เอาประกันภัยอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องร่วมรับผิดหรือไม่ อย่างไร เป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยในชั้นพิจารณา นอกจากนั้นจำเลยเป็นฝ่ายครอบครองกรมธรรม์ประกันภัยจึงสามารถนำกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวมาตรวจสอบเพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงว่าผู้ใดเป็นผู้เอาประกันภัย โดยไม่จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากฟ้องโจทก์อีก ข้อที่ว่าจำเลยรับประกันภัยไว้จากผู้ใด จึงเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยทราบดีอยู่แล้วและเป็นเพียงรายละเอียดที่คู่ความสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ส่วนในเรื่องนิติสัมพันธ์นั้น เมื่อฟ้องโจทก์เป็นที่เข้าใจได้ว่าขอให้จำเลยรับผิดในการทำละเมิดของนายคำฝานผู้เอาประกันภัย โจทก์จึงไม่จำต้องบรรยายฟ้องถึงนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้ทำละเมิดอีก ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาข้ออื่นนั้น ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อคู่ความสืบพยานกันจนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวน
ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ชข 5736 กรุงเทพมหานคร จำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์แท็กซี่ หมายเลขทะเบียน จ – 9529 กรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุนายคำฝานขับรถยนต์คันที่จำเลยรับประกันภัยไว้เฉี่ยวชนกับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหาย โจทก์นำรถยนต์เข้าซ่อมและชำระเงินค่าซ่อมแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า เหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทของนายคำฝานหรือไม่ โจทก์มีนายเสรี ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์เบิกความว่า หลังเกิดเหตุ โจทก์ส่งพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุเดินทางไปตรวจสอบและบันทึกถ้อยคำของนายคณิตสันติ์ไว้ตามสำเนาแบบแจ้งอุบัติเหตุและใบรับรองความเสียหาย พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่าเหตุเกิดจากความประมาทของนายคำฝาน จึงแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายคำฝานว่าขับรถยนต์โดยประมาทชนรถผู้อื่นได้รับความเสียหาย นายคำฝานให้การรับสารภาพและยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับ เมื่อพิจารณาแผนที่เกิดเหตุท้ายแบบแจ้งอุบัติเหตุประกอบถ้อยคำที่นายคณิตสันติ์ให้ต่อพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของโจทก์หลังเกิดเหตุทันที เห็นว่า จุดเฉี่ยวชนอยู่ในช่องเดินรถที่สามก่อนขึ้นทางด่วนโดยนายคำฝานขับรถออกจากซอยเพื่อออกสู่ถนนหลักตัดช่องเดินรถถึงสามช่อง หากใช้ความระมัดระวังโดยชะลอความเร็วของรถและดูให้ดีก่อนว่าบนถนนหลักมีรถผ่านมาหรือไม่ ก็จะไม่มีเหตุเฉี่ยวชนกัน สอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพของนายคำฝานต่อพนักงานสอบสวนว่าเป็นฝ่ายประมาท พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักให้รับฟัง จำเลยไม่นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าเหตุรถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนายคำฝาน เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ไว้จากนายคณิตสันติ์ได้นำรถยนต์เข้าซ่อมและชำระเงินค่าซ่อมแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิของนายคณิตสันติ์ผู้เอาประกันภัยเรียกร้องให้จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่นายคำฝานขับรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ได้ ส่วนปัญหาว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดนั้น โจทก์นำสืบว่า โจทก์นำรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้เข้าซ่อมที่บริษัทโตโยต้า บอดี้ เซอร์วิส จำกัด โจทก์ควบคุมราคาทั้งค่าแรงและค่าอะไหล่ตามระเบียบของโจทก์และชำระค่าซ่อมเป็นเงิน 142,078.77 บาท ตามใบแจ้งรายการซ่อมและใบแสดงค่าใช้จ่าย จำเลยไม่นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอื่น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เสียค่าซ่อมจริง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 142,078.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 ตุลาคม 2550) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 9,000 บาท