คำวินิจฉัยที่ 28/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่เอกชนยื่นฟ้องว่าเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. และที่ดินมือเปล่าซึ่งใช้เป็นทางสัญจรสาธารณะ จำเลยที่ ๑ นำรั้วเหล็กปิดกั้นขวางถนนเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำผลผลิตออกจำหน่าย คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงตรวจสอบแล้วเห็นว่าเป็นทางสาธารณะที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีหนังสือแจ้งให้รื้อถอนสิ่งกีดขวางออกจากถนนอันเป็นทางสาธารณะ จำเลยที่ ๑ ให้การว่าไม่เคยอุทิศหรือส่งมอบที่ดินให้เป็นทางสาธารณะไม่ทราบว่ามีการรอนสิทธิหรือภาระผูกพันในที่ดินพิพาท ขณะซื้อที่ดินมีสภาพเป็นทางคนเดินสิ้นสุดถึงที่ดินจึงได้ปิดกั้นแต่เว้นช่องให้คนเดินผ่านที่ดินได้ เห็นว่า แม้คดีเกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่และส่งผลกระทบต่อสิทธิทำให้โจทก์และชาวบ้านได้รับความเสียหาย แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๒๘/๒๕๕๗

วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๗

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดพังงา
ระหว่าง
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดพังงาส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๕ นายสำรวย รุ่งเรือง โจทก์ ยื่นฟ้อง นางปรานอม ช่วยสวัสดิ์ ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลป่ากอ ที่ ๒ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่ากอ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดพังงา เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๕๗/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหลักฐานหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๒๘๙ และที่ดินมือเปล่า ตำบลตากแดด อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา โจทก์ได้ใช้ทางสาธารณะสายช่องคับเป็นทางสัญจรเข้าสู่ที่ดินโจทก์ ประมาณเดือนตุลาคม ๒๕๕๓ จำเลยที่ ๑ นำรั้วเหล็กปิดกั้นขวางถนนสายดังกล่าว ทำให้โจทก์และชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่สามารถสัญจรผ่านถนนสายดังกล่าวได้ โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่สามารถนำผลปาล์มน้ำมันออกมาจำหน่ายและไม่สามารถนำเครื่องมือเข้าไปดูแลที่ดินได้ตามปกติ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต่อมาจังหวัดพังงาได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ถนนสายช่องคับเป็นทางสาธารณประโยชน์ที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ ๒ มีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นราชการบริหารส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๙ แก้ไขเพิ่มเติม โดยฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๔๖ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้บริหารโดยตำแหน่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในท้องถิ่นตำบลป่ากอ อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทำการรื้อถอนสิ่งกีดขวางออกจากถนนให้แล้วเสร็จภายใน ๕ วัน นับแต่ได้รับหนังสือ จำเลยที่ ๑ ยังคงเพิกเฉย ส่วนจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้กระทำการใดๆ ให้การกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ หมดสิ้นไป เมื่อจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตามกฎหมาย กลับงดเว้นและละเว้นปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ ๑ ทำละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนรั้วเหล็กที่ปิดกั้นถนนสายช่องคับ รวมทั้งรื้อถอนต้นไม้และนำดินที่เลื่อนไถลออกจากถนนสายช่องคับ กับทั้งให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ทั้งสิ้นและขอให้ยกฟ้อง โดยจำเลยที่ ๑ อ้างว่าเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๑ ซื้อที่ดินมาจากนางปราณี ขมักการ ซึ่งไม่เคยอุทิศหรือส่งมอบที่ดินให้เป็นทางสาธารณะจึงเป็นเจ้าของสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก) เลขที่ ๑๘๑ เลขที่ดิน ๕๒ หมู่ที่ ๓ ตำบลป่ากอ อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา เนื้อที่ ๑๒ ไร่ ๑ งาน ๔๖ ตารางวา ไม่ทราบว่ามีการรอนสิทธิหรือภาระผูกพันในที่ดินพิพาท ขณะซื้อที่ดินมีสภาพเป็นทางคนเดินสิ้นสุดถึงที่ดินของนายสมหมาย สิทธิบุตร ไม่มีสภาพเป็นถนนและไม่ได้ผ่านที่ดินของจำเลยที่ ๑ จึงได้ปิดกั้นบริเวณดังกล่าวและเว้นช่องทางคนเดินให้ผู้ใช้เส้นทางเดินผ่านที่ดินได้ตามปกติ ไม่ได้ทำให้บุคคลใดได้รับความเดือดร้อนเสียหาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและไม่ได้อยู่บริเวณที่ดินพิพาท ไม่เคยใช้เส้นทางเดินในที่ดินของจำเลยที่ ๑ แต่ใช้เส้นทางบนที่ดินของผู้อื่นจึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีนี้ คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ การฟ้องคดีต่อศาลนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและไม่ได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดพังงาพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีความประสงค์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้รับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้ว่าที่ดินส่วนที่ปิดกั้นเป็นที่ดินของตนมิใช่ทางสาธารณะ ดังนั้น ก่อนที่จะพิจารณาประเด็นอื่น จำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินส่วนที่จำเลยที่ ๑ ปิดกั้นนั้น เป็นทางสาธารณะอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองนครศรีธรรมราชพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๒ เป็นหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่นมีหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงรักษาทางน้ำและทางบกและการคุ้มครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตามมาตรา ๖๗ (๑) และมาตรา ๖๘ (๘) แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ส่วนจำเลยที่ ๓ เป็นผู้บริหารของจำเลยที่ ๒ มีอำนาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการคุ้มครองดูแลและรักษาทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ละเลยต่อหน้าที่ไม่เร่งรีบดำเนินการรื้อถอนสิ่งกีดขวางที่จำเลยที่ ๑ ได้นำไปปิดกั้นถนนสายช่องคับ ซึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ออกจากถนนดังกล่าว ทำให้โจทก์และชาวบ้านได้รับความเสียหาย กรณีจึงเป็นการฟ้องว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติทำให้เอกชนได้รับความเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ อย่างไรก็ดี แม้ข้อพิพาทในคดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ประเด็นปัญหาดังกล่าวก็เป็นเพียงประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่ใช้ประกอบการพิจารณาข้อหาการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ แม้การพิจารณาในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดิน แต่การนำบทกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาลักษณะคดีว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด ศาลปกครองย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิของทรัพย์สินได้ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเอกชน หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อ้างว่าเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส. ๓ ก. และที่ดินมือเปล่าซึ่งใช้ทางสาธารณะสายช่องคับเป็นทางสัญจร จำเลยที่ ๑ นำรั้วเหล็กปิดกั้นขวางถนนทำให้โจทก์ไม่สามารถนำผลผลิตออกจำหน่าย จังหวัดพังงาได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วมีความเห็นว่า ถนนสายช่องคับเป็นทางสาธารณะที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ทำการรื้อถอนสิ่งกีดขวางออกจากถนนอันเป็นทางสาธารณะ แต่จำเลยที่ ๑ ยังคงเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสามรื้อถอนรั้วเหล็กที่ปิดกั้นถนนสายช่องคับรวมทั้งรื้อถอนต้นไม้และนำดินที่เลื่อนไถลออกจากถนน ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า ไม่เคยอุทิศหรือส่งมอบที่ดินให้เป็นทางสาธารณะไม่ทราบว่ามีการรอนสิทธิหรือภาระผูกพันในที่ดินพิพาท ขณะซื้อที่ดินมีสภาพเป็นทางคนเดินสิ้นสุดถึงที่ดินผู้มีชื่อจึงได้ปิดกั้นและเว้นช่องทางคนเดินให้ผ่านที่ดินได้ตามปกติ โจทก์ไม่ได้อยู่บริเวณที่พิพาทและไม่ได้ใช้เส้นทางผ่านที่พิพาทจึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีนี้ คำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การว่า เป็นหน่วยงานทางปกครองและเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐการฟ้องคดีต่อศาลนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและไม่ได้รับความเสียหายตามที่กล่าวอ้าง ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า แม้คดีเกี่ยวข้องกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่และส่งผลกระทบต่อสิทธิทำให้โจทก์และชาวบ้านได้รับความเสียหาย แต่เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ในการใช้สิทธิทางศาล ก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของโจทก์ การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยที่ ๑ เป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามที่กล่าวอ้าง หรือเป็นทางสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนายสำรวย รุ่งเรือง โจทก์ นางปรานอม ช่วยสวัสดิ์ ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลป่ากอ ที่ ๒ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลป่ากอ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share