แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382เป็นคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีซึ่งตามกฎหมายจะเพิกถอนไม่ได้เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดสืบโดยคำพิพากษาของศาลในลำดับที่สูงกว่าทั้งเป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินและอาจใช้ยันบุคคลภายนอกได้เว้นแต่บุคคลภายนอกจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดนอกจากอ้างว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีก่อนอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทและขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วยังขอให้พิพากษาว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดอยู่และขอให้ขับไล่จำเลยด้วยพอแปลความหมายแห่งคำฟ้องได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นบุคคลภายนอกมีความประสงค์ให้ศาลมีคำสั่งพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยและคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสิบเอ็ดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา145วรรคสอง(2)ศาลอุทธรณ์ภาค2จึงมีอำนาจพิพากษาให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าวได้กรณีไม่ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฎในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2876 เนื้อที่ 10 ไร่ 3 งาน 12 ตารางวา เมื่อวันที่17 พฤษภาคม 2534 จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทต่อศาลชั้นต้น ขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2876เนื้อที่ 90 ตารางวา โดยการครอบครอง ครั้นวันที่ 9 กรกฎาคม 2534ศาลชั้นต้นดำเนินคดีฝ่ายเดียวแล้วมีคำสั่งให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2876เนื้อที่ 90 ตารางวา กว้าง 5 วา ยาว 18 วา ด้านติดกับคลองซอยชลประทานที่ 1 เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 377/2534 ต่อมาวันที่ 7 ตุลาคม 2534 จำเลยมอบให้ทนายความมีหนังสือถึงโจทก์ที่ 11 ให้ส่งโฉนดที่ดินเลขที่ 2876 เพื่อให้จำเลยลงชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ด ขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 677/2534ของศาลชั้นต้น ให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 2876 เนื้อที่ 90 ตารางวาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดตามเดิมและให้จำเลยกับบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนบ้านเลขที่ 17/3 ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2876 ของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2876 จำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนดังกล่าวมาโดยชอบด้วยกฎหมาย และได้ยึดถือที่ดินเฉพาะส่วนในฐานะเจ้าของ และอยู่อาศัยตลอดมา และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2876 เนื้อที่ 90 ตารางวากว้าง 5 วา ยาว 18 วา ด้านติดกับคลองซอยชลประทานที่ 1เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง โจทก์ทั้งสิบเอ็ดไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทมาก่อน จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 377/2534 ของศาลชั้นต้น โดยให้ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2876เนื้อที่ 90 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดตามเดิมและให้จำเลยกับบริวารขนย้ายทรัพย์สิน รื้อบ้านเลขที่ 17/3ออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2876 ของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย คำสั่งของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 677/2534 ไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสิบเอ็ด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 677/2534 เป็นคำสั่งที่วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีซึ่งตามกฎหมายจะเพิกถอนไม่ได้เว้นแต่จะถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย โดยคำพิพากษาของศาลในลำดับชั้นที่สูงกว่า ทั้งเป็นคำสั่งที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินและอาจใช้ยันบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดนอกจากอ้างว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 677/2534 อย่างคดีไม่มีข้อพิพาทและขอให้เพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว ยังขอให้พิพากษาว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังเป็นของโจทก์ทั้งสิบเอ็ดอยู่ตามเดิมและให้ขับไล่จำเลยด้วยก็พอแปลความหมายแห่งคำฟ้องได้ว่าโจทก์ทั้งสิบเอ็ดเป็นบุคคลภายนอกมีความประสงค์ให้ศาลมีคำพิพากษาว่า โจทก์ทั้งสิบเอ็ดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย และคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสิบเอ็ด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคสอง (2) ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จึงมีอำนาจพิพากษาให้เป็นไปตามบทบัญญัติดังกล่าวได้ กรณีไม่ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษาเกินไปกว่าที่ปรากฏในคำฟ้อง
พิพากษายืน