แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ทำละเมิดพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยร่วมรับผิดในวงเงินที่เอาประกันไว้ จำเลยที่ 3 แต่ผู้เดียวฎีกาศาลฎีกาฟังว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทของโจทก์เอง เมื่อเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาได้ตาม ป.ว.พ. ม. 245 และ 247
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เหตุเกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นลูกจ้างและขับรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 พิพากษาให้จำเลยที่ 1ที่ 2 ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 54,890 บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน503,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยทั้งสอง โดยให้รับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เพียง 10,000 บาท และโจทก์ที่ 2 เพียง 110,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 3 ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาเรื่องโจทก์ที่ 1 หรือจำเลยที่ 1เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทนั้น ตามภาพถ่ายหมาย จ.5 ถึง จ.10 รวมทั้งภาพถ่ายในสำนวนสอบสวน รถยนต์เก๋งของโจทก์ที่ 2 ได้รับความเสียหายตั้งแต่กันชนด้านหน้าแถวขวา บริเวณไฟหน้าด้านขวาบุบยุบเข้าไปทั้งแถบจึงถึงประตูหลังด้านขวา ความเสียหายดังกล่าวอยู่ในสภาพที่แหลกยับเยิน ส่วนรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายเล็กน้อย เฉพาะไม้หูช้างด้านขวาและไม้ใต้ขอบกะบะด้านหลัง ด้านหน้าของรถยนต์บรรทุกตลอดจนบังโคลนด้านขวาไม่มีร่องรอยการเฉี่ยวชนแต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายต่างมีประจักษ์พยานนำสืบว่า อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายขับรถล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถของตน ศาลฎีกาเห็นว่า ถนนที่เกิดเหตุมีผิวจราจรกว้างเพียง 6.6 เมตร และมีไหล่ถนนเป็นดินลูกรังอีกข้างละเกือบเมตร เส้นแบ่งกึ่งกลางถนนไม่มี เหตุเกิดในเวลากลางคืนสภาพถนนไม่มีแสงไฟอย่างอื่น นอกจากแสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งสวนกัน จึงยากที่ประจักษ์พยานจะรู้ได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขับรถล้ำกึ่งกลางถนนเข้ามาในช่องทางเดินรถของอีกฝ่ายหนึ่งหากมีการล้ำกึ่งกลางถนนกันเพียงเล็กน้อย ที่ร้อยตำรวจโททวีพร นามเสถียร พยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเบิกความว่า มีรอยเศษแก้วและเศษโลหะบนถนนเป็นระยะ ๆ ไปพยานวัดจากจุดแรกซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นจุดชนถึงขอบถนนด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นเส้นทางของรถเบนซ์ ปรากฏว่าจุดนี้ห่างจากขอบถนน2.9 เมตร และห่างจากขอบถนนด้านตะวันออก 3.7 เมตร จึงสันนิษฐานว่า รถบรรทุกกินทางเข้ามาในทางวิ่งของรถยนต์เบนซ์ประมาณ 40 เซนติเมตรนั้น ได้ความจากสิบตำรวจเอกประเสริฐ ทูลมาศ กับจ่าสิบตำรวจแสวงอ่วมจันทร์ พยานจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสอดคล้องต้องกันว่าบนถนนบริเวณที่เกิดเหตุ มีเศษวัสดุเต็มทั้งสองฝากไม่สามารถหาจุดชนได้หากว่ารถยนต์บรรทุกเป็นฝ่ายล้ำเข้ามาในช่องทางเดินรถของรถยนต์เก๋งแล้วด้านหน้าของรถยนต์บรรทุกตลอดจนบังโคลนขวาก็ควรจะมีร่องรอยการชนบ้าง แต่กลับไม่มีเลย รถยนต์บรรทุกถ่านมาเต็มคันรถ น้ำหนักรถมากกว่ารถยนต์เก๋งมากนัก ถ้ารถยนต์เก๋งขับชิดซ้ายแล้วยังถูกรถยนต์บรรทุกชนจนแหลกยับเยินไปด้านหนึ่งเช่นนี้ รถยนต์เก๋งก็น่าจะตกถนนทางด้านของตน แทนที่จะหมุนกลับไปอยู่ที่ไหล่ถนนอีกด้านหนึ่ง สำหรับคำให้การของนายสมบูรณ์พยานจำเลยที่ให้การในชั้นสอบสวนว่า รถบรรทุกวิ่งกินทางเข้าไปในทางของรถเก๋ง อันเป็นการเจือสมพยานโจทก์นั้น ก็ปรากฏว่าในชั้นศาลนายสมบูรณ์ได้เบิกความว่ารถเก๋งวิ่งกินทางเข้ามาในเส้นทางของรถบรรทุก ที่ตำรวจบันทึกคำให้การไว้ในชั้นสอบสวนนั้นไม่ตรงกับที่พยานบอก นอกจากนั้นหลังเกิดเหตุแล้วทางเจ้าหน้าที่ได้คืนรถบรรทุกให้จำเลย ต่อมาจึงได้เรียกเอารถกลับไปอีก โดยจำเลยอ้างว่าฝ่ายรถเก๋งได้วิ่งเต้นทางคดี ฝ่ายจำเลยจึงได้ร้องเรียนไปทางกองปราบปราม เพื่อขอความเป็นธรรม ทางกองปราบปรามได้ส่งนายตำรวจมาสอบสวนและผลการสอบสวนเห็นว่าควรสั่งฟ้องโจทก์ที่ 1 ด้วย ดังนี้จึงน่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกปากคำนายสมบูรณ์ไม่ตรงกับคำให้การของนายสมบูรณ์จริงดังที่อ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า สภาพความเสียหายของรถทั้งสองคันดังกล่าวแล้วกับการที่รถยนต์บรรทุกตกจากถนนไปทางด้านช่องทางเดินรถของตนเจือสมข้อนำสืบของจำเลยที่ว่า เมื่อจำเลยที่ 1 เห็นรถยนต์เก๋งแล่นส่วยไปมาจึงได้ขับรถชิดซ้าย แต่ก็ยังถูกรถยนต์เก๋งเฉี่ยวชนเอาตรงไม้หูช้างด้านขวาเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกเสียหลัก ตกจากถนนไป เหตุจึงเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 1 เอง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด และโดยที่หนี้เป็นหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยอื่นที่มิได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 และ 247 เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาจำเลยที่ 3ในประเด็นอื่นต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ”