คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3319/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องแย้งของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ใช้สิทธิ ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในเรื่อง วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อกำหนด ให้ผู้ขอใช้วิธีการชั่วคราวซึ่งใช้สิทธิโดยมิชอบต้องรับผิดชดใช้ ค่าสินไหมทดแทนไว้แล้ว ดังนั้น หากการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสอง เป็นไปโดยมิชอบ ก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในลักษณะดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์รู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ ในภารจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และยื่นคำขอคุ้มครอง ชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยเสียหาย ต้องรื้อรั้วและยอมให้ บุคคลอื่นใช้ทางพิพาท เป็นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่ง อนุญาตตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์เป็นความผิดของโจทก์ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 263(1)แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำพิพากษา ทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้น จะตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายแพ้คดี สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน ของจำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้อง จึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองใช้ทางเดินผ่านที่ดินจำเลยออกไปสู่ทางสาธารณะ โดยความสงบเปิดเผยและเจตนาใช้ทางดังกล่าวเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสอง มากว่า 10 ปีแล้วทางดังกล่าวจึงตกเป็นภารจำยอม เมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2540 จำเลยกับพวกร่วมกันขุดหลุมปักเสาคอนกรีตทำเป็นรั้วในทางเดินที่เป็นภารจำยอมอันเป็นการกีดขวาง ทำให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถใช้ทางภารจำยอมดังกล่าวออกไปสู่ถนนสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสองบอกกล่าวแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนเสาคอนกรีตทั้งหมดบนทางภารจำยอม ให้เปิดทางภารจำยอมกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 800 เมตร เพื่อให้โจทก์ทั้งสองใช้ทางดังกล่าวได้ และให้จำเลยจดทะเบียนภารจำยอมในทางดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินของจำเลยไม่เคยตกอยู่ในภารจำยอมของที่ดินของโจทก์ทั้งสอง ทางพิพาทจำเลยเป็นผู้ทำขึ้นในปี 2533 ถึง 2534 เมื่อประมาณปี 2538 และ 2539 โจทก์ทั้งสองมาปลูกบ้านในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองซื้อมา และใช้รถบรรทุกขนสัมภาระผ่านทางพิพาท ทำให้ทางพิพาทเสียหายแล้วไม่ซ่อมแซม จำเลยจึงทำรั้วลวดหนามและโครงเหล็กปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์ทั้งสองรู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ในภารจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริต และได้ยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยต้องรื้อเสาคอนกรีตรั้วลวดหนามและโครงเหล็กออก จำเลยต้องยอมให้บุคคลอื่นใช้ทางพิพาทดังกล่าวทำให้จำเลยเสียหาย ขอให้ยกฟ้องโจทก์ และบังคับโจทก์ทั้งสองมิให้เกี่ยวข้องกับทางพิพาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเป็นเงิน 39,875 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าเสียหายอีกวันละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งจนถึงวันที่โจทก์ทั้งสองเลิกเกี่ยวข้องกับทางพิพาท
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ แต่ไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องแย้งของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ทั้งสองใช้สิทธิตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในเรื่องวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อกำหนดให้ผู้ขอใช้วิธีการชั่วคราวซึ่งใช้สิทธิโดยมิชอบต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้แล้วดังนั้น หากการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสองเป็นไปโดยมิชอบ ก็ต้องบังคับตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในลักษณะนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ทั้งสองรู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ในภารจำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริตและยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาล จนทำให้จำเลยเสียหายต้องรื้อรั้วและยอมให้บุคคลอื่นใช้ทางพิพาทเป็นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอคุ้มครองชั่วคราวของโจทก์ทั้งสองเป็นความผิดของโจทก์ทั้งสอง ซึ่งโจทก์ทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 263(1) แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวโจทก์ทั้งสองจะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเมื่อศาลตัดสินให้โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายแพ้คดี ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้งศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำพิพากษา ทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินให้โจทก์ทั้งสองเป็นฝ่ายแพ้คดีด้วยสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของจำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้องจึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้
พิพากษายืน

Share