คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9559/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสองใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธจี้ขู่บังคับผู้เสียหายนั่งรถจักรยานยนต์ไปจากบริเวณที่จำเลยทั้งสองพบผู้เสียหายครั้งแรกไปจนถึงกระท่อมนาที่จำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายโดยพวกจำเลยยืนคุมอยู่ การกระทำชำเราในลักษณะเช่นนี้ จำเลยทั้งสองและพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกันและอยู่คุมให้พวกของตนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ เป็นการสมคบกันกระทำผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 83, 91, 276 วรรคสอง, 284
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 83, 276 วรรคสอง, 284 การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดสองกรรม จึงต้องลงโทษทุกกรรมตาม ป.อ. มาตรา 91 ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีแล้ว หากไม่มีมูลความจริงก็คงจะไม่กล้าเปิดเผยแจ้งความว่าตนได้ถูกข่มขืนกระทำชำเราเพราะเป็นเรื่องที่น่าอับอายทั้งผู้เสียหายไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสองมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าผู้เสียหายจะแกล้งเบิกความปรักปรำให้ร้ายจำเลยทั้งสองต้องรับโทษ คำเบิกความของผู้เสียหายมีเหตุผลน่าเชื่อ ทั้งเมื่อเกิดเหตุแล้วผู้เสียหายได้เล่าเรื่องให้สามีทราบและแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนทันที โดยระบุชื่อคนร้ายว่าเป็นจำเลยทั้งสอง เมื่อจับจำเลยทั้งสองได้ผู้เสียหายชี้ตัวจำเลยทั้งสองว่าเป็นคนร้ายร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพทั้งไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและถ่ายรูปไว้ เมื่อพนักงานสอบสวนไปตรวจที่เกิดเหตุพบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้ว 2 ถุง ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ การที่แพทย์ตรวจไม่พบตัวอสุจิในอวัยวะเพศของผู้เสียหาย ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า คนร้ายสวมถุงยางอนามัยขณะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงไม่ใช่ข้อยืนยันว่าผู้เสียหายมิได้ถูกข่มขืนกระทำชำเรา พยานหลักฐานจำเลยทั้งสองไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ปัญหาต่อไปมีว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองจะเป็นความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือไม่ เห็นว่า การกระทำชำเราในลักษณะเช่นนี้ จำเลยทั้งสองและพวกได้กระทำในลักษณะติดต่อกันและอยู่คุมให้พวกของตนข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ เป็นการสมคบกันกระทำผิดอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและเป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารโดยใช้กำลังประทุษร้ายดังที่โจทก์ฟ้องจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share