คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9029/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีของศาลชั้นต้น โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้บังคับบัญชาของโจทก์แจ้งข้อความและรายงานอันเป็นเท็จต่อสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองและผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นว่า โจทก์ไม่ส่งมอบสำนวนการสอบสวนคดีจราจรกับจำหน่ายคดีอาญาเป็นเท็จ เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และต่อมาจำเลยที่ 1 แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนทางวินัยว่า โจทก์ไม่ส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาให้พนักงานอัยการและโจทก์เขียนจำหน่ายคดีดังกล่าวลงในสมุดคุมคดีเป็นเท็จว่าได้ส่งสำนวนการสอบสวนดังกล่าวให้พนักงานอัยการแล้ว เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในฐานะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงรายงานผลการสอบสวนต่อผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือ ตามคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลว่า โจทก์ไม่ส่งมอบสำนวนการสอบสวนกับจำหน่ายคดีอาญาดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นความเท็จ เป็นการร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น จึงเป็นการรายงานคนละฐานะต่อบุคคลคนละคนและคนละครั้งคราวเดียวกัน แม้จะรายงานในเรื่องเดียวกัน ก็เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีของศาลชั้นต้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ปี ๒๕๓๖ โจทก์รับราชการตำแหน่ง รองสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง เมื่อระหว่างวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ขณะที่โจทก์ไปช่วยราชการที่กองบังคับการสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์ได้รายงานต่อพันตำรวจโทชำนาญ เครือบัว สารวัตรใหญ่สถานีตำบลนครบาลดอนเมืองว่า โจทก์ไม่ส่งมอบสำนวนการสอบสวนคดีอาญาและคดีจราจรที่อยู่ในความรับผิดชอบก่อนเดินทางไปช่วยราชการ ๒๐ คดี และจำหน่ายคดีอาญา ๓ คดี เป็นเท็จ พันตำรวจโทชำนาญได้รายงานต่อไปยัง ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ต่อมากองบัญชาการตำรวจนครบาลได้มีคำสั่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยมีจำเลยที่ ๓ เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นกรรมการ ระหว่างวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันสอบสวนข้อเท็จจริงแล้วรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ซึ่งมีข้อความบางส่วนว่า โจทก์ไม่ได้ส่งมอบสำนวนการสอบสวนคดีจราจรที่ ๔๘๘/๒๕๓๕, ๑๓๓๖/๒๕๓๕, ๑๕๔๙/๒๕๓๕, ๑๖๐๘/๒๕๓๕ และ ๑๖๑๔/๒๕๓๕ ก่อนเดินทางไปช่วยราชการและจำหน่ายคดีอาญาที่ ๙๖๒/๒๕๓๕ ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงโจทก์สอบสวนคดีจราจรดังกล่าวเสร็จก่อนเดินทางไปช่วยราชการและสอบสวนคดีอาญาดังกล่าวเสร็จ ส่งสำนวนให้พนักงานอัยการแล้วไม่ได้จำหน่ายคดีเป็นเท็จ เป็นเหตุให้โจทก์ถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยเกี่ยวกับคดีจราจรและคดีอาญา ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย กับเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสวบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญาร่วมกันกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๗, ๑๕๗, ๒๐๐, ๘๓
ระหว่างไต่สวนมูลฟ้องจำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ ๑ ข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งมีข้อเท็จจริงและเป็นเรื่องเดียวกันกับคดีนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษา ยกฟ้องตามคดีหมายเลขแดงที่ ๕๗๐๔/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น โจทก์อุทธรณ์ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์มาฟ้องจำเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้อีก จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ (๑) ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ สำหรับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นเพียงกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ผู้บังคับบัญชาแต่งตั้งขึ้นร่วมกับจำเลยที่ ๑ และรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงของจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ ๑ ได้อ้างส่งเป็นพยานในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๕๗๐๔/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น โจทก์ไม่ได้โต้แย้งว่าเป็นเท็จหรือเป็นเจตนารายงานผู้บังคับบัญชาไม่ตรงกับความจริง ทั้งศาลชั้นต้นได้พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ก็มิได้โต้แย้งรายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยทุกประเด็นแล้ว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามอีก จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นและให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๑ เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ ๕๗๐๔/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ตามสำเนาคำฟ้องคดีหมายเลขแดงที่ ๕๗๐๔/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น เอกสารท้ายคำร้องของจำเลยทั้งสามฉบับลงวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑ โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ คดีนี้ว่า ระหว่างวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้บังคับบัญชาของโจทก์แจ้งข้อความและรายงาน อันเป็นเท็จต่อพันตำรวจโทชำนาญ เครือบัว สารวัตรใหญ่สถานีตำรวจนครบาลดอนเมืองและผู้บังคับบัญชาตาม ลำดับชั้นว่า โจทก์ไม่ส่งมอบสำนวนการสอบสวนคดีจราจรที่ ๔๘๘/๒๕๓๕ , ๑๓๓๖/๒๕๓๕, ๑๕๔๙/๒๕๓๕, ๑๖๐๘/๒๕๓๕, และ ๑๖๑๔/๒๕๓๕ กับจำหน่ายคดีอาญาที่ ๙๖๒/๒๕๓๕ เป็นเท็จ เป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งโจทก์ให้ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และระหว่างวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๗ ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๗ จำเลยที่ ๑ แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนทางวินัยว่า โจทก์ไม่ส่งสำนวนการสอบสวนคดีอาญาที่ ๙๖๒/๒๕๓๕ ให้พนักงานอัยการและโจทก์เขียนจำหน่ายคดีดังกล่าวลงในสมุดคุมคดีเป็นเท็จว่าได้ส่งสำนวนการสอบสวนดังกล่าวให้พนักงานอัยการแล้ว เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเพื่อจะแกล้งให้โจทก์ได้รับโทษทางอาญาและทางวินัย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในฐานะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงรายงานผลการสอบสวนต่อผู้บังคับการตำรวจนครบาลพระนครเหนือตามคำสั่งของผู้บัญชาการตำรวจนครบาลว่า โจทก์ไม่ส่งมอบสำนวนการสอบสวนกับจำหน่ายคดีอาญาดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นความเท็จ เป็นการร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชานเสียหาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานสอบสวนหรือ เจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใด ๆ ในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบเพื่อจะแกล้งให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดต้องรับโทษ หรือรับโทษหนักขึ้น จึงเป็นการรายงานคนละฐานะต่อบุคคลคนละคนและคนละครั้งคราวกัน แม้จะรายงานในเรื่องเดียวกันก็เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็น ฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ ๕๗๐๔/๒๕๔๐ ของศาลชั้นต้น
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีจำเลยที่ ๑ แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share