คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1153/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะมีเงินเดือนประจำ และมีทรัพย์สินเป็น หุ้นอยู่ในสหกรณ์ออมทรัพย์กรมชลประทานก็ตาม แต่เงินเดือน ของจำเลยหลังจากหักค่าใช้จ่ายในครอบครัวแล้วคงเหลือ ประมาณ 2,000 บาท ซึ่งพอเพียงสำหรับการผ่อนชำระหนี้ ได้เฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น แต่จำเลยก็หาได้ชำระให้แก่โจทก์ไม่นอกจากนี้จำเลยยังเป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์สูงเกินกว่าทุนเรือนหุ้นที่จำเลยถืออยู่ในสหกรณ์อีกด้วย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้ล้มละลายตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยไม่ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 291/2538 ของศาลชั้นต้น เป็นจำนวน280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2538 หลังจากศาลพิพากษาตามยอมแล้วจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 20,000 บาท และชำระในชั้นพิจารณาของศาลอีก 20,000 บาท จากนั้นก็ไม่ชำระอีก โจทก์ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดที่จะยึดมาชำระหนี้ได้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุที่ไม่ควรให้ล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์นำสืบได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาซึ่งเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนเป็นเงิน 280,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แม้จะได้ความว่าจำเลยเคยชำระหนี้ให้โจทก์บ้างแต่ก็เป็นเงินเพียง 40,000 บาทแล้วไม่ชำระอีก นอกจากนั้นโจทก์ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินใดอันจะยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้สำหรับจำเลยซึ่งทำงานเป็นลูกจ้างประจำสังกัดกรมชลประทานอ้างว่า จำเลยได้รับเงินเดือนเดือนละ 14,800 บาทและมีทุนเรือนหุ้นของสหกรณ์ออมทรัพย์กรมชลประทานอีกประมาณ 50,000 บาท แต่จำเลยก็ยอมรับว่ายังเป็นหนี้เงินกู้สหกรณ์ออมทรัพย์ดังกล่าวเป็นเงิน 250,000 บาท ซึ่งต้องถูกหักเงินเดือนชำระหนี้ทุกเดือน เดือนละ 5,000 บาท เห็นว่า แม้จำเลยจะมีเงินเดือนประจำและมีทรัพย์สินเป็นหุ้นอยู่ในสหกรณ์ออมทรัพย์กรมชลประทานก็ตาม แต่เงินเดือนของจำเลยหลังจากหักค่าใช้จ่ายในครอบครัวแล้วคงเหลือประมาณ2,000 บาท ซึ่งพอเพียงสำหรับการผ่อนชำระหนี้ได้เฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น แต่จำเลยก็หาได้ชำระให้แก่โจทก์ไม่ ส่วนทรัพย์สินในสหกรณ์ออมทรัพย์นั้นก็ได้ความว่าจำเลยเป็นหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์สูงเกินกว่าทุนเรือนหุ้นที่จำเลยถืออยู่ในสหกรณ์ออมทรัพย์ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ทั้งไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้ล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share