คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2554

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนมีการบังคับคดี ข้อตกลงย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 และผู้ร้องตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญมีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินพิพาท ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้กันที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องครอบครองก่อนนำที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลบ้านนา (ดงยาง) อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา ออกขายทอดตลาดเพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ในที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึด โดยผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดที่แน่นอนคนละกึ่งหนึ่ง ส่วนของผู้ร้องอยู่ทางทิศตะวันตก ส่วนของจำเลยที่ 2 อยู่ทางด้านทิศตะวันออก จำเลยที่ 2 จำนองที่ดินกับโจทก์เฉพาะส่วน ผู้ร้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ขอให้มีคำสั่งให้กันส่วนที่ดินของผู้ร้องออกก่อนขายทอดตลาด
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ตามประกาศขายทอดตลาดที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดี สำนักงานบังคับคดีจังหวัดนครนายก ไม่มีชื่อผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยที่ 2 ผู้ร้องจึงไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย ไม่มีสิทธิร้องขอกันส่วน โจทก์รับจำนองที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2 ตามเนื้อที่โฉนด ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่ได้แจ้งโจทก์ว่าส่วนของจำเลยที่ 2 อยู่ตรงทิศใด ทั้งยังไม่ได้จดทะเบียนแยกเป็นส่วนสัดและไม่มีหลักฐานการแบ่งแยกเป็นลายลักษณ์อักษร ขณะโจทก์รับจำนองที่ดินพิพาท ผู้ร้องไม่ได้โต้แย้งคัดค้านการทำนิติกรรม โจทก์รับจำนองที่ดินพิพาทโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ร้องไม่อาจทำให้เสื่อมเสียสิทธิแก่โจทก์ ในการขายทอดตลาดที่ดินเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องยึดและขายทั้งแปลงเพราะไม่อาจทราบได้ว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 แบ่งแยกและครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้กันที่ดินส่วนของผู้ร้องในโฉนดที่ดินเลขที่ 2346 ตำบลบ้านนา (ดงยาง) อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก ทางทิศด้านตะวันตก เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 23ไร่ บริเวณกรอบสีเขียวตามเอกสารหมาย ร. 2 ออกก่อนขายทอดตลาด ยกคำคัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของนางบุญ ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2346 ตำบลบ้านนา (ดงยาง) อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก เนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน 4 ตารางวา ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร. 1 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาททั้งแปลงออกขายทอดตลาด โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ไม่ได้แบ่งการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนที่ดินพิพาทภายในเส้นสีเขียว ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร. 2 ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องเป็นพยานเบิกความว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางบุญ และจำเลยที่ 2 ต่อมาปี 2531 นางบุญได้ยกที่ดินส่วนของตนให้ผู้ร้อง ตามสารบัญสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ร. 1 ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 จึงถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทคนละครึ่ง โดยแบ่งการครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด ที่ดินของผู้ร้องอยู่ทางทิศตะวันตกภายในเส้นสีเขียว ที่ดินของจำเลยที่ 2 อยู่ทางทิศตะวันออกภายในเส้นสีเหลือง ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร. 2 ที่ดินของจำเลยที่ 2 มีสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นที่ตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัดโซเฟียพลาซ่าจำเลยที่ 1 โชว์รูมขายรถยนต์ และบ้าน ที่ดินของผู้ร้องเป็นที่ดินว่างเปล่า ผู้ร้องให้นายสมเดช และนางพยัพ เช่าที่ดินทำนามาตลอดจนถึงปัจจุบัน โดยผู้ร้องมีนายสมเดชมาเบิกความสนับสนุน เห็นว่า เจ้าพนักงานบังคับคดียึดสิ่งปลูกสร้าง 5 รายการ บนที่ดินพิพาทได้แก่ บ้าน อาคารของจำเลยที่ 2 ตามสำเนาบัญชียึดทรัพย์เอกสารหมาย ค. 3 นายอมร เจ้าพนักงานบังคับคดี พยานโจทก์เบิกความว่าสิ่งปลูกสร้างที่ยึดตั้งอยู่บริเวณเดียวกัน ปัญหาว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวอยู่ส่วนใดของที่ดินพิพาท ข้อนี้โจทก์ไม่ได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของผู้ร้องให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงต้องฟังว่าสิ่งปลูกสร้างที่ถูกยึดตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกตามที่ผู้ร้องนำสืบ สิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 2 ที่ยึดมีราคาประเมินสูงประมาณ 1,000,000 บาท และทางพิจารณาไม่ได้ความว่า ผู้ร้องมีส่วนเกี่ยวข้องในการประกอบธุรกิจของจำเลยทั้งสองหรือทำประโยชน์หรือปลูกสร้างบ้านเรือนในที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออก ดังนั้น ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกอันที่เป็นที่ตั้งของสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดน่าจะเป็นจำเลยที่ 2 การที่ผู้ร้องนำสืบว่า ที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ว่างเปล่านั้นผู้ร้องได้ครอบครองเป็นส่วนสัดแยกต่างหากจากจำเลยที่ 2 จึงมีเหตุผลรับฟังได้ แม้ผู้ร้องไม่ได้นำจำเลยที่ 2 มาเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้แบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด หรือไม่มีการทำแนวเขตที่ดินที่แต่ละฝ่ายครอบครองให้ชัดเจน ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานของผู้ร้องขาดน้ำหนัก ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ได้ตกลงแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทก่อนมีการบังคับคดี ข้อตกลงย่อมผูกพันจำเลยที่ 2 และผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สามัญมีสิทธิบังคับคดีได้เท่าที่จำเลยที่ 2 มีสิทธิในที่ดินพิพาทเท่านั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนของผู้ร้องมาขายทอดตลาดได้ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอให้กันที่ดินพิพาทที่ผู้ร้องครอบครองก่อนนำที่ดินทั้งแปลงออกขายทอดตลาดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share