คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ราษฎรได้ใช้ทางพิพาทมานานเกินกว่า 10 ปี โดยไม่มีผู้ใดอ้างตนเองเป็นเจ้าของและผู้ใช้ทางเดินดังกล่าวก็ไม่ต้องขออนุญาตผู้ใด ถือว่าจำเลยได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว ทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณประโยชน์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ทางเดินริมคลองวัดน้อย (ที่ถูกคือคลองวัดน้อยร้าง) หมู่ที่ ๑๐ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี จากหมู่บ้านออกไปสู่ถนนซอยวัดบางเลนเจริญ(วัดน้อย) เป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยได้ทำรั้วสังกะสีปิดกั้นทางพิพาท เป็นเหตุให้โจทก์และราษฎรไม่สามารถใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกได้ ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะห้ามมิให้จำเลยปิดกั้นอีกต่อไป ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทริมคลองวัดน้อยร้าง หมู่ที่ ๑๐ตำบลบางเลน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ให้อยู่ในสภาพเดิมทุกประการ ถ้าจำเลยไม่รื้อก็ให้โจทก์รื้อถอนเอง โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า ทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณประโยชน์ จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจากนายจำปา ขุนสนิท และนางลำเจียก เข็มกลัด เมื่อปี ๒๕๑๕ จำเลยมิได้ปิดกั้นทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นทางพิพาทให้อยู่ในสภาพเดิม ห้ามมิให้จำเลยปิดกั้นอีกต่อไป ส่วนที่โจทก์มีคำขอว่าหากจำเลยไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปิดกั้นก็ให้โจทก์เป็นผู้รื้อถอน โดยให้จำเลยออกเงินค่าใช้จ่ายนั้นให้ยกเพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๙๖ ทวิ ได้บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีให้จัดการให้ได้อยู่แล้ว
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ราษฎรได้ใช้ทางพิพาทมานานเกินกว่า ๑๐ ปีแล้วโดยไม่มีผู้ใดอ้างตนเองเป็นเจ้าของ และผู้ใช้ทางเดินดังกล่าวก็ไม่ต้องขออนุญาตผู้ใด ถือว่าจำเลยได้อุทิศทางพิพาทให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว ทางพิพาทจึงเป็นทางสาธารณประโยชน์ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวระบุไว้ว่าด้านทิศใต้ติดกับคลองวัดน้อยร้าง และไม่มีด้านใดติดกับทางสาธารณประโยชน์นั้น เห็นว่าเมื่อเป็นทางสาธารณประโยชน์ภายหลังออกโฉนดก็หาจำต้องจดทะเบียนแสดงว่าเป็นทางสาธารณะแต่ประการใด
พิพากษายืน.

Share