แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นแห่งคดีมีว่า จำเลยที่ 3 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์และเป็นบุคคลภายนอก เป็นการพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ว่ามีต่อจำเลยทั้งสามอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะให้เห็นว่าการกระทำของ จำเลยที่ 3ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์นั้น เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ทั้งเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาวินิจฉัยจำเลยทั้งสามได้ให้การและนำสืบมาแต่ต้นแล้ว จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีฐานละเมิดนั้น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย หาใช่เพียงแต่เป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัยเท่านั้นไม่และบางกรณีต้องเป็นผู้เสียหายตามสัญญาที่ได้ทำไว้ต่อกันเท่านั้นบุคคลภายนอกแม้จะได้รับความเสียหายก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีเพราะมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อผู้นั้น กรณีของโจทก์เห็นได้ชัดว่าเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายจากบริษัทด. เจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้น แม้โจทก์จะได้ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมา ก็เป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิมและใช้โดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิมคือบริษัทสายการบิน ท. ทั้งนี้เพราะสัญญาเช่าโทรศัพท์ระหว่างบริษัทดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 ยังมิได้เลิกกันและโจทก์ยังไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์แทนบริษัทดังกล่าว นอกจากนี้ตั้งแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้บริษัทดังกล่าวเป็นผู้เช่าโทรศัพท์ จำเลยที่ 1 มีหนังสือติดต่อและแจ้งเก็บเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์กับผู้เช่าตลอดมา หาได้มีเอกสารติดต่อกับโจทก์โดยตรงไม่แม้แต่ค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่จำเลยที่ 3 ตรวจพบว่ามีการค้าง ชำระประจำเดือนมีนาคม 2527จำเลยที่ 3 ก็มีหนังสือแจ้งเตือนให้นำเงินไปชำระยังบริษัทดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังคงถือว่าบริษัทดังกล่าวเป็นคู่สัญญาเช่าโทรศัพท์เครื่องพิพาทกับจำเลยที่ 1 ตลอดมา จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้หรือครอบครองโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1แต่ประการใด การที่โจทก์อ้างว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์เพราะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนปลดฟิวส์ โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้อง จึงรับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2528 จำเลยที่ 3 ได้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตสั่งระงับการใช้โทรศัพท์หมายเลข 2330567ซึ่งโจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้ในการปฏิบัติงานประจำอยู่ที่สำนักงานกฎหมายโกสุมภ์และเพื่อน เลขที่ 946 ถนนพระราม 4อาคารพาณิชย์ดุสิตธานี ชั้นที่ 11 ห้อง 1101 บี. โดยอ้างว่าโจทก์ค้างชำระค่าใช้บริการ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ไม่เคยค้างชำระและจำเลยที่ 3 ระงับการใช้โทรศัพท์โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนว่าจะต้องนำค่าใช้โทรศัพท์ที่ค้างไปชำระทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเนื่องจากลูกความของสำนักงานโจทก์ไม่สามารถติดต่อกับโจทก์ได้ เป็นเหตุให้ลูกความไม่ทราบนัดที่จะต้องไปศาลอย่างน้อย 3 คดีทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินไม่ต่ำกว่า100,000 บาท และขาดประโยชน์ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์หมายเลขดังกล่าวคิดเป็นเงินวันละ 3,000 บาท จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1และภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามต่อสายโทรศัพท์หมายเลข 2330567 ให้โจทก์ใช้เช่นเดิมและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 100,000 บาทกับค่าขาดประโยชน์และค่าเสียหายจากวันฟ้องในอัตราวันละ 3,000 บาทแก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะได้ใช้โทรศัพท์ดังกล่าว
จำเลยทั้งสามให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์มิได้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์หมายเลข 2330567 การที่จำเลยที่ 3 ขออนุมัติปลดฟิวส์งดให้บริการใช้โทรศัพท์จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ นอกจากนี้โจทก์และจำเลยที่ 1 มิได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของจำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้แทนของนิติบุคคล และได้ทำหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวเช่นกันโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสาม ก่อนที่จำเลยที่ 3 จะขออนุมัติปลดฟิวส์งดให้บริการนั้น จำเลยที่ 3 ได้ตรวจสอบหลักฐานพบว่า ผู้เช่าโทรศัพท์เลขหมายดังกล่าวคือ บริษัทสายการบิน ที.ดับบลิว.เอ. จำกัด ค้างชำระค่าเช่าประจำเดือนมีนาคม 2527 และมกราคม 2528 จำนวน 628 บาท และ 684 บาทตามลำดับ จำเลยที่ 3 จึงมีหนังสือทวงถามไปตามที่อยู่ในทะเบียนติดตั้งเลขที่ 1-3 ศาลาแดง มุมถนนสีลม เขตบางรักกรุงเทพมหานคร แต่ส่งให้ผู้เช่าไม่ได้โดยได้รับแจ้งว่าย้ายไปแล้วเมื่อครบกำหนดเวลาตามระเบียบ จำเลยที่ 3 จึงขออนุมัติปลดฟิวส์จำเลยที่ 3 กระทำการโดยสุจริต จึงไม่เป็นละเมิดและไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาเป็นเรื่องที่โจทก์คาดคะเนเอาเองลอย ๆ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท คำขออื่นสำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ให้ยกและให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาสำคัญที่ควรวินิจฉัยเสียก่อนมีว่าการที่จำเลยที่ 3 ทำการปลดฟิวส์ระงับการใช้โทรศัพท์ที่โจทก์ใช้อยู่นั้น เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตซึ่งเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาในข้อแรกว่า ศาลอุทธรณ์พิจารณาโดยตั้งประเด็นขึ้นมาใหม่ว่า จำเลยที่ 3 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์แล้วพิพากษาว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์ โจทก์เป็นบุคคลภายนอกการกระทำของจำเลยที่ 3 จึงไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นได้ตั้งไว้ และไม่เป็นประเด็นที่โต้แย้งกันมาแต่ศาลชั้นต้น จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคแรก และศาลอุทธรณ์ยังวินิจฉัยอีกว่าโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 เพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เช่าโทรศัพท์ ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 จึงเท่ากับวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นไว้นั้นเห็นว่า ประเด็นแห่งคดีนี้มีอยู่โดยตรงแล้วว่า จำเลยที่ 3ได้ทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มิใช่ผู้เช่าโทรศัพท์ และเป็นบุคคลภายนอกนั้น เป็นการพิจารณาถึงสิทธิของโจทก์ว่ามีต่อจำเลยทั้งสามอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะให้เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 3 ซึ่งทำให้โจทก์ไม่ได้ใช้โทรศัพท์นั้นเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ทั้งเหตุที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาวินิจฉัยนี้ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับประเด็นที่โต้แย้งกันโดยตรงซึ่งจำเลยทั้งสามได้ให้การต่อสู้และนำสืบมาแต่ต้นแล้ว และไม่ขัดกับที่ศาลชั้นต้นได้ตั้งประเด็นไว้ทั้งนี้ เพราะการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ย่อมเห็นได้ว่าได้นำสิทธิของโจทก์ที่โจทก์มีต่อจำเลยทั้งสามและพฤติการณ์แห่งคดีมาวินิจฉัยการกระทำของจำเลยที่ 3 ว่า เป็นละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ความรับผิดฐานละเมิดนั้นอาจเกิดแก่บุคคลใดที่ไม่ใช่คู่สัญญาก็ได้จึงไม่จำเป็นต้องมีนิติสัมพันธ์ต่อกันมาก่อนอย่างเช่นในกรณีของเอกเทศสัญญา และเรื่องนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องจำเลยเกี่ยวกับสัญญาเช่าแต่ฟ้องฐานละเมิด โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้นั้น เห็นว่า การฟ้องฐานละเมิดอาจเกิดขึ้นได้ทั้งกรณีที่มีสัญญาและไม่มีสัญญา ซึ่งแล้วแต่ว่าการกระทำละเมิดนั้นเกิดขึ้นจากเหตุและกรณีใดเป็นเรื่อง ๆ ไป ทั้งนี้ต้องอาศัยพฤติการณ์แห่งคดีเป็นหลักและผู้ที่มีสิทธิฟ้องคดีฐานละเมิดนั้น ต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหาใช่เพียงแต่เป็นผู้เสียหายโดยพฤตินัยเท่านั้นไม่ และบางกรณีต้องเป็นผู้เสียหายตามสัญญาที่ได้ทำไว้ต่อกันเท่านั้นบุคคลภายนอกแม้จะได้รับความเสียหายก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีได้เพราะมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อผู้นั้น ดังเช่นคดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังยุติแล้วว่าโจทก์มิได้ทำสัญญาเป็นผู้เช่าโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1แต่การที่ผู้ใดจะมีสิทธิติดตั้งใช้โทรศัพท์จากจำเลยที่ 1 ต้องขอและได้รับอนุญาต แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่ากับจำเลยที่ 1 เสียก่อนจำเลยที่ 1 จึงจะจัดการติดตั้งให้เช่าใช้โทรศัพท์ได้ เมื่อได้ทำสัญญาเช่าไว้แล้วมีการจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่ฝ่ายใด ก็ถือได้ว่ามีการทำละเมิดเกิดขึ้นโดยนิตินัย แต่กรณีของโจทก์เห็นได้ชัดว่าเป็นแต่เพียงผู้ครอบครองและใช้โทรศัพท์โดยได้รับมอบหมายมาจากบริษัทดุสิตธานี จำกัดเจ้าของอาคารที่โจทก์เช่าตั้งสำนักงานประกอบกิจการอยู่เท่านั้นแม้โจทก์ได้ชำระค่าเช่า และค่าบริการโทรศัพท์ให้จำเลยที่ 1 ตลอดมาก็ถือว่าโจทก์เป็นแต่เพียงมีสิทธิใช้โดยพฤตินัยเท่านั้น หาได้มีสิทธิผูกพันกับจำเลยที่ 1 ไม่ การที่โจทก์ชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์เท่ากับเป็นการชำระแทนผู้เช่าเดิมและใช้โดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิมคือบริษัทสายการบิน ที ดับพลิว เอ จำกัดทั้งนี้เพราะสัญญาเช่าโทรศัพท์ระหว่างบริษัทดังกล่าวกับจำเลยที่ 1ยังมิได้เลิกกัน และโจทก์ยังไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้เป็นผู้เช่าโทรศัพท์แทนบริษัทดังกล่าว และข้อเท็จจริงปรากฏชัดและฟังได้ว่าตั้งแต่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาให้บริษัทสายการบินดังกล่าวเป็นผู้เช่าโทรศัพท์ตามสัญญาเอกสารหมาย ล.8 เป็นต้นมา จำเลยที่ 1ได้มีหนังสือติดต่อและแจ้งเก็บเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์กับผู้เช่าตลอดมา หาได้มีเอกสารติดต่อกับโจทก์โดยตรงไม่ แม้แต่ค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ที่จำเลยที่ 3 ตรวจพบว่ามีการค้างชำระประจำเดือนมีนาคม 2527 แล้วจำเลยที่ 3 ได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนให้นำเงินไปชำระตามเอกสารหมาย ล.3 และ ล.9 (แผ่นที่ 2) ก็ตามมีข้อความเป็นตัวอักษรในหนังสือเอกสารดังกล่าวชัดแจ้งว่า บริษัทสายการบิน ที ดับบลิว เอ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เช่า หาใช่หนังสือไปถึงโจทก์ไม่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยังคงถือว่าบริษัทสายการบินดังกล่าวเป็นคู่สัญญาเช่าโทรศัพท์เครื่องพิพาทกับจำเลยที่ 1 ตลอดมาจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์มีนิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการใช้หรือครอบครองโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 แต่ประการใด ฉะนั้นการที่โจทก์อ้างว่าเป็นละเมิดต่อโจทก์เพราะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนปลดฟิวส์โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องจึงรับฟังไม่ได้ ทั้งเมื่อโจทก์ไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องแจ้งให้โจทก์ทราบไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ทั้งสิ้น และที่โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ 3 ไม่ได้ส่งเอกสารหมาย ล.3 ซึ่งเป็นใบแจ้งเตือนให้ผู้เช่านำเงินไปชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ตามที่อยู่ของผู้เช่านั้น เห็นว่าจำเลยทั้งสามมีหลักฐานเป็นซองจดหมายใส่เอกสารและได้จ่าหน้าซองถึงที่อยู่ของผู้เช่าซึ่งได้ให้ไว้ตรงตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย ล.8 ชัดแจ้งแล้ว ประกอบกับนายแสวง วรรณจูซึ่งเป็นพยานของโจทก์เองเบิกความยืนยันว่าซองเอกสารหมาย จ.3ส่งให้ผู้รับไม่ได้ พยานจึงลงชื่อไว้บนซอง แสดงว่าจำเลยที่ 3 ได้ส่งใบแจ้งเตือนให้ผู้เช่านำเงินไปชำระค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ประจำเดือนมีนาคม 2527 ที่ค้างชำระอยู่แก่จำเลยที่ 1 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ทราบก็ตาม ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบดังที่วินิจฉัยข้างต้น ฉะนั้นเมื่อครบกำหนดตามใบแจ้งเตือนแล้วผู้เช่ายังไม่นำเงินค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ไปชำระ การที่จำเลยที่ 3ขออนุมัติและทำการปลดฟิวส์ ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำการตามหน้าที่และตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ว่าด้วยการงดให้บริการแก่ผู้เช่าโทรศัพท์ที่ค้างชำระค่าบริการ พ.ศ. 2526ตามเอกสารหมาย จ.30 แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 3 ได้กระทำไปโดยสุจริตไม่ผิดระเบียบของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน