แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนเกิดเหตุ จำเลยอยู่ด้วยกันกับพวกของจำเลยและได้วิ่งหนีไปด้วยกันหลังจากพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ต่อมาอีก 1 ชั่วโมง จำเลยได้กลับเข้ามาในซอยเกิดเหตุกับพวกของจำเลยซึ่งมีอาวุธปืนยาวติดตัวมาเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า นั้นและยังร่วมวิ่งหนีออกจากซอยเกิดเหตุไปด้วยกันหลังจากพวกจำเลยได้ใช้อาวุธปืนยาวยิงมาที่ผู้เสียหายและ พวก กรณีย่อมฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมมาและรู้เห็นกับพวกโดยตลอดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง มิใช่เป็นการมาพบกับพวกจำเลยในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ และแม้จำเลยมิได้มีอาวุธปืนติดตัวมาด้วยทั้งมิได้กล่าว ถ้อยคำยุยงให้พวกกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็เท่ากับเป็นการสมทบกำลังให้แก่พวกซึ่งเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดและเป็นพฤติการณ์อันต้องถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมด้วยในการกระทำความผิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายอนุรักษ์ ค้ำชู จำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๕๖๔๙/๒๕๒๗ หมายเลขแดงที่ ๗๐๙๒/๒๕๒๗ ของศาลชั้นต้นซึ่งได้พิพากษาลงโทษไปแล้ว โดยมีเจตนาฆ่า ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยาวลูกกรด ขนาด .๒๒ (ลองไรเฟิล) ยิงนายปฏิมา วิบูลย์เสข ๑ นัด แต่เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จึงไม่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายดังกล่าวถึงแก่ความตายสมดังเจตนา จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๗๐๘/๒๕๒๘ ของศาลชั้นต้นขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๘๓ และนับโทษจำเลยต่อจากคดีดังกล่าว
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด ๑๐ ปี คำขออื่นของโจทก์ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนหน้าเกิดเหตุคดีนี้ จำเลยได้อยู่ด้วยกันกับนายอนุรักษ์และได้วิ่งหนีไปด้วยกัน หลังจากนายอนุรักษ์ได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายดังกล่าวแล้ว ครั้นอีกประมาณ ๑ ชั่วโมงต่อมาจำเลยได้กลับเข้ามาในซอยเกิดเหตุด้วยกันกับนายอนุรักษ์ซึ่งมีอาวุธปืนยาวติดตัวมาเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นและยังร่วมวิ่งหนีออกจากซอยเกิดเหตุไปด้วยกัน หลังจากนายอนุรักษ์ได้ใช้อาวุธปืนยาวยิงมาที่ผู้เสียหายและพวกเช่นนี้ย่อมฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมมาและรู้เห็นกับพวกโดยตลอดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้งดังกล่าว หาใช่เป็นการมาพบกับนายอนุรักษ์ในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญดังที่อ้างมาตามฎีกาไม่ และแม้จำเลยมิได้มีอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งมิได้กล่าวถ้อยคำยุยงให้พวกกระทำการดังกล่าวดังที่อ้างมาตามฎีกาก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เท่ากับเป็นการสมทบกำลังให้แก่พวกซึ่งเป็นผู้ลงมือกระทำความผิดและเป็นพฤติการณ์อันต้องถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำความผิดโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่อาจเกิดขึ้นร่วมกัน กรณีจึงถือว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมด้วยในการกระทำความผิด
พิพากษายืน.