แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์มีกำหนดระยะเวลาของสัญญา 12 เดือนตามสัญญานี้โจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีและจำเลยต้องนำเงินเข้าบัญชี มีการหักทอนบัญชีกันเป็นระยะ จึงเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดด้วย นับแต่วันสิ้นสุดสัญญาไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีและโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีอีก จึงไม่มีการเดินสะพัดและหักทอนบัญชีกันต่อไปอีก พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์ จำเลยไม่ประสงค์จะต่ออายุสัญญาอีกต่อไป ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ตกลงกันกำหนดไว้ในสัญญา ตามนัยป.พ.พ. มาตรา 856 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปอีกนับแต่วันสิ้นสุดสัญญา สิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นคงมีเพียงวันสุดท้ายแห่งบัญชีเดินสะพัดเท่านั้น ตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 655 วรรคสอง. (วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2533)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 2,500,000 บาท มีกำหนด 12 เดือน ในระหว่างอายุสัญญาจนครบกำหนดสัญญากู้วันที่ 9 มิถุนายน 2527 จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีไปจำนวน 2,511,141.39 บาท แต่จำเลยไม่ได้บอกเลิกสัญญา โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามและแจ้งการบังคับจำนองให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จภายใน30 วัน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2528แต่จำเลยเพิกเฉย ยอดหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน3,428,958.81 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน3,428,958.81 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จากต้นเงิน2,877,701.58 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 2,511,141.39 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน2527 จนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน2,511,141.39 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์อื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้จากพยานหลักฐานของโจทก์ว่าจำเลยมีบัญชีเดินสะพัดอยู่กับโจทก์สาขาท่าพระ และทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับโจทก์เพียงวันที่9 มิถุนายน 2527 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 2,511,141.39 บาท ต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ โดยให้จำเลยชำระหนี้ให้เสร็จภายใน 30 วัน จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2528 ในชั้นนี้มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเพียงว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ถึงวันที่เท่าใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 1 กำหนดระยะเวลาของสัญญาไว้มีกำหนด 12 เดือนนับจากวันทำสัญญาเป็นต้นไป สัญญาดังกล่าวทำในวันที่ 9 มิถุนายน 2526วันสิ้นสุดสัญญาคือวันที่ 9 มิถุนายน 2527 และนับแต่วันสิ้นสุดสัญญาไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีและโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินเกินบัญชีอีก จึงไม่มีการเดินสะพัดและหักทอนบัญชีกันต่อไปอีกปรากฏตามบัญชีกระแสรายวันเอกสารหมาย จ.14 พฤติการณ์แสดงว่าโจทก์จำเลยไม่ประสงค์จะต่ออายุสัญญาอีกต่อไป ถือว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ตกลงกันกำหนดไว้ในสัญญา ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปอีกนับแต่วันสิ้นสุดสัญญา สิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นคงมีเพียงวันที่9 มิถุนายน 2527 อันเป็นวันสุดท้ายแห่งบัญชีเดินสะพัดเท่านั้นตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 655 วรรคสอง ต่อจากนั้นไปโจทก์คงคิดดอกเบี้ยได้โดยไม่ทบต้น ที่โจทก์ฎีกาว่า แม้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะมีกำหนดระยะเวลาไว้ แต่ก็มิได้ระบุไว้ว่าเมื่อครบกำหนดแล้วให้สัญญาบัญชีเดินสะพัดเป็นอันระงับเป็นเพียงการกำหนดอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่จำเลยจะสามารถเบิกเงินเกินบัญชีได้ตามระยะเวลาเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าครบกำหนดตามสัญญาแล้วจำเลยมิได้ชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จสิ้น กับมิได้บอกเลิกสัญญาและโจทก์ยังมิได้หักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้ที่เหลือถือว่าบัญชีเดินสะพัดยังคงมีอยู่ต่อไปจนกว่าโจทก์หรือจำเลยจะบอกเลิกสัญญานั้น เห็นว่า สัญญาเบิกเงินเกินบัญชียอมให้จำเลยเบิกเงินเกินจากบัญชีได้และจำเลยต้องนำเงินเข้าบัญชีและมีการหักทอนกันเป็นระยะนั้น เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดด้วย เมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดสัญญาไว้ สัญญาบัญชีเดินสะพัดย่อมสิ้นสุดไปตามสัญญาดังกล่าว หาจำต้องบอกเลิกสัญญาหรือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้ก่อนจึงจะเลิกสัญญาได้ไม่ ทั้งเมื่อสัญญาสิ้นสุดแล้วก็ไม่มีกรณีที่ต้องบอกเลิกสัญญากันอีกต่อไป
พิพากษายืน.