แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อความในสัญญาที่ว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะ ผู้จำนำ ยอม รับผิดในฐานะ ลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้น หมายความเพียงว่าจำเลยที่ 2จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมภายในวงเงินที่นำทรัพย์สินมาจำนำเป็นประกันหนี้เท่านั้น หาใช่ขยายจำนวนเงินที่จะรับผิดออกไปจากวงเงินที่กำหนดไว้ไม่ จำเลยที่ 2 จะต้อง รับผิดในหนี้นอกเหนือจากราคาทรัพย์ที่จำนำก็ต่อ เมื่อมีข้อสัญญาแสดงฐานะ ว่าเป็นผู้ค้ำประกันโดย ชัดแจ้ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าของโจทก์ได้เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้จำนำหุ้นของบริษัทสยามเครดิต จำกัด จำนวน 6,000 หุ้น เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยที่ 1 สั่งซื้อและขายหุ้นตลอดมา และค้างชำระเงินทดลองจ่ายค่าหุ้นกับค่าธรรมเนียมโจทก์อยู่โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงได้บอกกล่าวบังคับจำนำหุ้นที่จำเลยที่ 2 นำมาประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 โดยนำหุ้นของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาด จำนวน 6,000 หุ้น เหลือต้นเงินที่จำเลยที่ 1ค้างชำระ 614,057.17 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีนับแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2526 ถึงวันฟ้อง (วันที่ 7 เมษายน 2526)จำนวน 57 วันเป็นเงินค่าดอกเบี้ย 17,260.89 บาท รวมเป็นเงิน631,318.02 บาท จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 631,318.02 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 614,057.13 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระหนี้ให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและสัญญาจำนำไม่สมบูรณ์ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ การที่โจทก์นำหุ้นของจำเลยที่ 2ออกขายทอดตลาดจึงเป็นการไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 614,057.13 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยให้จำเลยที่ 2ร่วมรับผิดด้วยเป็นเงิน 24,464.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์ขอให้บังคับจำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษาว่า “…สัญญาข้อ 3 ตอนท้ายกำหนดไว้ว่าผู้จำนำยินยอม ผู้รับจำนำผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ และผู้จำนำยอมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมอยู่ด้วย ข้อความนี้แสดงเจตนาของคู่สัญญาว่าประสงค์จะผูกพันตามสัญญาข้อนี้ ซึ่งเป็นข้อที่ว่าด้วยตัวทรัพย์สินที่จำนำ โดยตอนต้นของสัญญาข้อนี้กำหนดให้ผู้จำนำต้องส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำให้ผู้รับจำนำรักษาไว้ และให้ผู้จำนำลงชื่อในแบบฟอร์มเพื่อการโอนหุ้นที่จำนำไว้ให้ผู้ซื้อเมื่อมีการขายทอดตลาดบังคับจำนำ หากผู้รับจำนำผ่อนผันการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้คือจำเลยที่ 1 แล้ว ผู้จำนำคือจำเลยที่ 2 ยังต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 อยู่ ส่วนข้อความที่ว่ายอมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมนั้นมีความหมายเพียงว่าจำเลยที่ 2 จะยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมภายในวงเงินที่นำทรัพย์สินมาจำนำเป็นประกันหนี้เท่านั้น หาใช่ขยายจำนวนเงินที่จะรับผิดออกไปจากวงเงินที่กำหนดไว้ไม่ หากจะแปลข้อความดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในหนี้นอกเหนือจากราคาทรัพย์ที่จำนำดังที่โจทก์อ้าง ย่อมหมายความว่าจำเลยที่ 2ตกอยู่ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้อีกต่างหากจากการจำนำเป็นประกันหนี้ถ้าเป็นเช่นนั้นสัญญาฉบับนี้คงไม่เรียกว่าสัญญาจำนำเท่านั้น และข้อสัญญาดังกล่าวควรจะต้องแยกอยู่ต่างหากจากสัญญาข้อ 3 แสดงฐานะผู้ค้ำประกันโดยชัดแจ้ง อีกประการหนึ่งตามสัญญาข้อ 5 แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการบังคับจำนำจะนำเงินที่ขายทอดตลาดมาชำระหนี้อย่างไร กล่าวคือ ถ้าเป็นสัญญาที่กำหนดวงเงินและขายทรัพย์ได้เกินวงเงินจึงจะนำส่วนที่เกินไปชำระหนี้สินจำนวนอื่นได้ ถ้าขายได้ต่ำกว่าวงเงิน จำเลยที่ 2 ผู้จำนำต้องใช้ให้ครบตามวงเงินในกรณีบังคับใช้หนี้ตามวงเงินแล้วมีเงินเหลือต้องคืนให้ผู้จำนำคือจำเลยที่ 2 สัญญาข้อนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดเท่าราคาทรัพย์สินที่นำมาจำนำและชดใช้ให้ครบตามวงเงินเท่านั้น แม้สัญญาฉบับลงวันที่ 17 สิงหาคม 2521 ข้อ 1 จะไม่ได้กำหนดวงเงินไว้ก็มีความหมายเพียงว่า เมื่อบังคับจำนำแก่ทรัพย์สินที่จำนำแล้วต้องนำเงินที่ขายทรัพย์สินได้ทั้งหมดมาชำระหนี้เว้นแต่กรณีชำระหนี้แล้วมีเงินเหลือจึงจะคืนให้จำเลยที่ 2 เท่านั้นฉะนั้นสัญญาฉบับที่ไม่มีวงเงินก็ดี สัญญาฉบับอื่นที่มีวงเงินอยู่ก็ดี ไม่มีทางแปลเจตนาว่าคู่สัญญาประสงค์จะให้ผู้จำนำต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมในหนี้ทั้งหมดนอกเหนือจากทรัพย์จำนำ…”
พิพากษายืน.