แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์เพราะโจทก์ไม่มีเจตนากระทำผิดโจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นข้อกฎหมายที่ไร้สาระไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์ฎีกา ดังนี้ แม้อุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นข้อกฎหมายที่มีสาระศาลฎีกาก็ไม่อาจวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าวให้มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำผิดได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำข้อความอันเป็นเท็จไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์เปิดเผยรายละเอียดตลอดทำเทียมเลียนแบบสิ่งประดิษฐ์ม่านเหล็กบังตาที่จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนไว้เพื่อจำหน่ายแข่งขันกับจำเลยโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าความจริงโจทก์มิได้กระทำ เป็นเหตุให้โจทก์ตกเป็นผู้ต้องหาและถูกควบคุมตัว ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 90
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ให้รับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไปแจ้งความให้ดำเนินคดีกับโจทก์โดยเชื่อด้วยความสุจริตว่าโจทก์เลียนแบบสิ่งประดิษฐ์ที่จำเลยขอจดทะเบียนสิทธิบัตรไว้ ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 22 อุทธรณ์ของโจทก์เป็นข้อกฎหมายไร้สาระ ให้ยกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่าจำเลยขาดเจตนา โจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมายที่มีสาระมีเหตุผลเพียงพอที่จะรับวินิจฉัย ไม่ใช่ไม่มีสาระดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เห็นว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดหรือไม่เป็นข้อเท็จจริง ไม่อาจนำข้อกฎหมายไปวินิจฉัยชี้ขาดเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ ดังนั้นไม่ว่าจะวินิจฉัยข้อกฎหมายว่ามีสาระหรือไม่ มีความหมายหรือมีผลประการใด ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
พิพากษายืน.