คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1333/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความท้ากันโดยตกลงเอาการสาบานของจำเลยและส.เป็นเงื่อนไข กล่าวคือถ้าบุคคลทั้งสองยอมสาบานโจทก์ก็ยอมรับตามข้ออ้างของจำเลยและยอมแพ้คดี แต่ถ้าบุคคลทั้งสองไม่ยอมสาบานจำเลยก็เป็นฝ่ายแพ้คดี ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับระหว่างคู่ความได้ ส่วนการสาบานตนของส.เป็นเพียงเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้น การที่ ส.ไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการตกลงนั้น หาทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ เมื่อจำเลยและส.ไปยังสถานที่กำหนดแล้ว แต่บุคคลทั้งสองไม่ยอมสาบาน จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามคำท้า.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าไถ่ถอนการขายฝากที่ดินจำนวน 1,000 บาท และส่งมอบที่ดินคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทโจทก์ที่ 2 ขายให้จำเลยตั้งแต่พ.ศ. 2512 จำเลยไม่เคยทำสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์ที่ 2 สัญญาที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาปลอม
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยตกลงท้ากัน ปรากฏว่าจำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 1,000 บาท จากโจทก์ที่ 1 และให้จำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ที่ 1 ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงท้ากันว่า ถ้าจำเลยและนายสูน งาหอม พยานในสัญญาซื้อขายยอมสาบานต่อหน้าหลวงพ่อใหญ่ วัดศีรษะแรด อำเภอพุทไธสง ว่าจำเลยได้ซื้อที่พิพาทมาจากโจทก์ที่ 2 มิใช่โจทก์ที่ 2 กู้เงิน 1,000บาท แล้วให้จำเลยทำกินในที่พิพาทต่างดอกเบี้ยโดยฝ่ายโจทก์จะเป็นผู้นำสาบาน ในการไปสาบานให้เจ้าหน้าที่ศาลไปเป็นพยานด้วยหากจำเลยและนายสูน งาหอม ยอมสาบานโจทก์ยอมแพ้ ถ้าจำเลยและหรือนายสูน งาหอม ไม่ยอมสาบานจำเลยยอมแพ้ ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน ครั้นถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 ซึ่งเป็นวันนัดไปสาบานกัน คู่ความไปพร้อมกันที่วัดศีรษะแรดสถานที่ที่คู่ความตกลงกันไว้ โจทก์ได้กล่าวนำคำสาบานต่อหน้าหลวงพ่อใหญ่ วัดศีรษะแรด ปรากฏว่าจำเลยจะสาบานแต่นายสูนไม่ยอมสาบาน เมื่อนายสูนไม่ยอมสาบาน จำเลยก็ไม่สาบานด้วยปรากฏตามรายงานเจ้าหน้าที่ฉบับลงวันที่ 31 พฤษภาคม 2527 เมื่อฝ่ายจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำท้า ศาลล่างทั้งสองจึงพิพากษาให้ฝ่ายจำเลยแพ้คดี มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า นายสูน งาหอม เป็นบุคคลภายนอกมิได้รู้เห็นยินยอมในการตกลงท้ากันด้วย จึงเป็นการท้าที่ไม่ชอบ เมื่อนายสูนไม่ยอมสาบาน ศาลจะพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีมิได้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การท้ากันในศาลนั้นคือการยอมรับข้อเท็จจริงตามที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน คดีนี้เงื่อนไขดังกล่าวคือการสาบานตัวของจำเลยและนายสูน งาหอม กล่าวคือถ้าบุคคลทั้งสองยอมสาบานตามที่ตกลงกันไว้ โจทก์ก็ยอมรับตามข้ออ้างของจำเลยและยอมแพ้คดี แต่ถ้าบุคคลทั้งสองไม่ยอมสาบานจำเลยก็เป็นฝ่ายแพ้คดี ข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับระหว่างคู่ความได้ส่วนการสาบานตนของนายสูน งาหอมเป็นเพียงเงื่อนไขที่คู่กรณีกำหนดขึ้น การที่นายสูน งาหอมไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการตกลงนั้นหาทำให้ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายตามข้ออ้างของจำเลยไม่ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยและนายสูน งาหอม ไปอยู่ต่อหน้าหลวงพ่อใหญ่ที่วัดศีรษะแรดแล้ว แต่บุคคลทั้งสองไม่ยอมสาบานตามข้อตกลง จำเลยก็ต้องแพ้คดีตามคำท้าดังกล่าว
พิพากษายืน.

Share