คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3610/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปและบุคคลหนึ่งบุคคลใดไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่รับอันตรายสาหัส เป็นกรณีที่กฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ท่ามกลางความชุลมุนหรือสับสนวุ่นวายโดยไม่ทราบว่าผู้ใดหรือฝ่ายใดเป็นผู้ทำร้าย การที่จำเลยที่ 1 กับพวกฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่ง สมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเกิดการชุลมุนหรือไม่ การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่เป็นความผิดฐานดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 299, 371, 372, 376, 379 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบอาวุธปืน แว่นกระดาษแข็งปิดปากกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 ชิ้นส่วนหมอนกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 ปลอกกระสุนปืนออโตเมติก ขนาด 9 มม. รูเกอร์ ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร ข้อหายิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ข้อหาชักหรือแสดงอาวุธปืนในการวิวาทต่อสู้ ข้อหาทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะ และข้อหาเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส แต่ให้การปฏิเสธข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, มาตรา 288 ประกอบมาตรา 60, 80 มาตรา 299 (ที่ถูก มาตรา 299 วรรคแรก) 371, 372, 376, 379 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาด ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ฐานชักหรือแสดงอาวุธปืนในการวิวาทต่อสู้ ฐานทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะ และฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นและฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดซึ่งกฎหมายเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดมีอัตราโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเพียงฐานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 10 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 5 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 มาตรา 299 (ที่ถูก มาตรา 299 วรรคแรก), 371, 372, 376, 379 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ฐานยิงปืนซึ่งใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุ ฐานชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ฐานทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะ และฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 10 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 ปี 12 เดือน ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 16 เดือน ริบอาวุธปืน แว่นกระดาษแข็งปิดปากกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 ชิ้นส่วนหมอนกระสุนปืนลูกซอง ขนาด 12 ปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 มม. รูเกอร์ ของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก ยกฟ้องโจทก์ในส่วนจำเลยที่ 3
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดเฉพาะฐานทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะและฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ส่วนข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะและฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัสตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า สำหรับความผิดฐานทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะ โจทก์มีนางณัฏฐภัทร บุตรสะใภ้จำเลยที่ 2 เป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างวัยรุ่นกลุ่มบ้านขวางกับวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วย พยานเห็นจำเลยที่ 2 เดินเข้าไปหาวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วย ซึ่งพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 เดินเข้าไปหาวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วย ทั้ง ๆ ที่ทราบดีอยู่แล้วว่าวัยรุ่นกลุ่มบ้านขวางกับวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วยมีเหตุทะเลาะวิวาทกัน จำเลยที่ 2 ย่อมคาดหมายได้ว่าจะต้องเกิดเหตุวิวาทอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นอย่างแน่นอน จึงไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 2 จะต้องเดินเข้าไปหาวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วย การที่จำเลยที่ 2 เดินเข้าไปหาวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วยโดยไม่เกรงภัยว่าวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วยจะเข้าใจว่าจำเลยที่ 2 เป็นกลุ่มคู่อริที่มุ่งจะทำร้าย จึงไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นนอกจากต้องการมีเรื่องกับวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วย การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการสมัครใจทะเลาะวิวาทกับวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วย ส่วนที่จำเลยที่ 2 นำสืบทำนองว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ เพียงแต่เข้าไปดูนายกิตติศักดิ์บุตรชายจำเลยที่ 2 นั้น ก็เป็นการง่ายต่อการกล่าวอ้าง ทั้งหากจำเลยที่ 2 ต้องการไปตามหานายกิตติศักดิ์จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยที่ 2 จะต้องเดินเข้าไปหาวัยรุ่นกลุ่มบ้านกล้วยจนถูกจำเลยที่ 1 ชกได้รับบาดเจ็บ ทั้งที่นายกิตติศักดิ์อยู่ในกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มบ้านขวาง ข้อนำสืบของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณะมานั้นจึงชอบด้วยเหตุผลแล้ว
ส่วนกรณีความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัสนั้น เห็นว่า บทความผิดดังกล่าวเป็นกรณีที่กฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้ที่เข้าร่วมในการต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป ท่ามกลางความชุลมุนหรือสับสนวุ่นวาย โดยไม่ทราบว่าผู้ใดหรือฝ่ายใดเป็นผู้ทำร้าย เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ชัดเจนว่า จำเลยที่ 1 กับพวกฝ่ายหนึ่ง กับจำเลยที่ 2 กับพวกอีกฝ่ายหนึ่งสมัครใจวิวาทต่อสู้กัน ไม่ว่าจะเกิดการชุลมุนหรือไม่ การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่เป็นความผิดฐานดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัสนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน และสำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะมิได้ฎีกา แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัสแล้ว ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 ในความผิดดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 372 ปรับ 4,500 บาท ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 3,000 บาท หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 (ที่แก้ไขใหม่) ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใดได้รับอันตรายสาหัสเสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6

Share