คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3525/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ขอทำสะพานไม้สูงประมาณ 1 ฟุต เพื่อเป็นทางเดินบนที่ดินอันเป็นทางภารจำยอมอยู่แล้ว เมื่อทางภารจำยอมดังกล่าวไม่ได้อยู่แนวขอบที่ดิน หากแต่เป็นทางที่แบ่งที่ดินของจำเลยออกเป็นสองส่วนอย่างชัดแจ้งจำเลยย่อมไม่ได้รับความสะดวกจากการใช้ที่ดินตามปกติ การทำสะพานไม้ดังกล่าวนับว่าเป็นภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะทำได้

ย่อยาว

มูลคดีเดิมสืบเนื่องมาจากจำเลยได้เปิดทางพิพาทเป็นทางเดินกว้างประมาณ 1 เมตรตลอดแนวที่ดินของจำเลยและจดทะเบียนภารจำยอมให้โจทก์ตามคำพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลว่าไม่ได้รับความสะดวกในการใช้ทางเดินเพราะทางเดินเป็นดินโคลนเนื่องจากฝนตกขอทำสะพานไม้สูงประมาณ 1 ฟุตจากพื้นดินตลอดแนวทางภารจำยอมดังกล่าว

จำเลยแถลงคัดค้านว่า ตามคำพิพากษาไม่ได้ระบุให้ทำสะพานไม้ ถ้าทำสะพานไม้ก็เป็นการเพิ่มภาระแก่ที่ดินของจำเลย และผิดไปจากคำพิพากษาขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยไม่ยอมให้ทำเพราะเป็นการเพิ่มภาระแก่ที่ดิน ก็ไม่อาจบังคับจำเลยได้ให้ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การทำสะพานไม้ไม่เป็นการเพิ่มภาระแก่ที่ดินของจำเลย พิพากษากลับให้โจทก์สร้างสะพานไม้สูงประมาณ 1 ฟุตตลอดแนวทางภารจำยอมได้ตามคำร้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าการที่โจทก์ขอทำสะพานไม้สูงประมาณ1 ฟุต เพื่อเป็นทางเดินบนที่ดินอันเป็นภารจำยอมนี้ จะเป็นการเพิ่มภาระแก่ภารยทรัพย์ของจำเลยหรือไม่ เห็นว่าทางภารจำยอมนี้โจทก์อ้างว่าเป็นทางซึ่งใช้เดินมาประมาณ 50 ปีแล้ว โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยทำสะพานไม้ผ่านที่ดินของจำเลย ข้ออ้างที่ว่าใช้ทางไม่สะดวกเพราะฝนตกทำให้ทางเดินเป็นดินโคลน แม้จะเป็นความจริงก็เป็นไปตามธรรมชาติเป็นครั้งคราวตามฤดูกาลความต้องการของโจทก์ก็เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นเมื่อสภาพของทางภารจำยอมดังกล่าวไม่ได้อยู่แนวซอยที่ดินหากแต่เป็นทางที่แบ่งที่ดินของจำเลยออกเป็นสองส่วนอย่างชัดแจ้ง ซึ่งถ้ายอมให้ทำสะพานจำเลยย่อมไม่ได้รับความสะดวกจากการใช้ที่ดินตามปกติเพราะจะต้องข้ามสะพานไม้ที่ยกสูงขึ้นจากพื้นดินอีก 1 ฟุต นับว่าเป็นภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะทำได้

พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของโจทก์

Share