แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535ถึงแม้ว่าบริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัดฯมาตรา 184 แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สินหนี้สิทธิและความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185เมื่อการฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิโจทก์ซึ่งจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจึงได้รับสิทธิในการฟ้องคดีของบริษัทจำกัดเดิมโจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่ทนายความใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 586,882.76 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ของต้นเงิน 522,765.07 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และชำระเงิน 2,165,717.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงิน 1,857,860.99 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้จำเลยรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดจนครบ
จำเลยให้การว่า สัญญากู้ยืมตามฟ้องไม่มีข้อตกลงให้โจทก์เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าจำเลยผิดนัดเมื่อใดและมีการชำระหนี้กันอย่างใดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 586,882.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11.25 ต่อปี ของต้นเงิน 522,765.07 บาท และชำระเงิน2,165,717.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15.75 ต่อปี ของต้นเงิน1,857,860.99 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 22557, 23553 ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุงจังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด หากไม่พอให้บังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มอบอำนาจให้นายปกรณ์ กิจธิคุณ ดำเนินคดีแทน ต่อมาวันที่ 13 พฤษภาคม2536 โจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2530 และวันที่ 2 สิงหาคม 2531 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน 700,000 บาทและจำนวน 2,300,000 บาท ตามลำดับ โดยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 22557 และ 23553ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี มาจดทะเบียนจำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าวในวงเงินแปลงละ 1,500,000 บาท มีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่าหากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ จำเลยยอมรับผิดใช้หนี้ส่วนที่ขาดจนครบ จำเลยผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแล้ว คำนวณถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามสัญญากู้ยืมฉบับแรกจำนวน 586,882.76 บาท ตามสัญญากู้ยืมฉบับหลังจำนวน2,165,717.11 บาท มีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่า ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยและมิได้ฟังคำคัดค้านของจำเลยก่อนเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างว่าศาลชั้นต้นพิจารณาคดีผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ซึ่งคู่ความฝ่ายที่เสียหายอาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าเวลาใดก่อนมีคำพิพากษาแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่คู่ความฝ่ายนั้นได้ทราบข้อความหรือพฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้นตามวรรคสองของมาตรา 27 ดังกล่าว ปรากฎตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ฉบับลงวันที่ 10 มิถุนายน 2536 ว่าศาลชั้นต้นสั่งคำร้องเมื่อวันที่ 11 เดือนเดียวกันและจำเลยรับสำเนาคำร้องเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2536 ดังนั้นจำเลยย่อมทราบว่าศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์แล้วตั้งแต่วันดังกล่าวแต่จำเลยมิได้ยื่นคำคัดค้านเสียภายในแปดวันนับแต่วันที่จำเลยทราบ จำเลยจึงยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาข้อต่อมาว่า โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ไม่ได้เพราะเป็นนิติบุคคลคนละคน มิใช่เป็นการแก้ชื่อให้ถูกต้อง เห็นว่า จำเลยมิได้อุทธรณ์ประเด็นข้อนี้ไว้ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ผู้รับมอบอำนาจโจทก์และทนายโจทก์ไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ต่อไปหลังจากโจทก์จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้วเห็นว่า การที่โจทก์แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดเป็นเพียงเปลี่ยนสภาพตามกฎหมายจากบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เป็นบริษัทมหาชนจำกัดตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ถึงแม้ว่าบริษัทจำกัดเดิมหมดสภาพไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 มาตรา 184แต่บริษัทมหาชนจำกัดที่เกิดจากการแปรสภาพก็ได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ และความรับผิดของบริษัทจำกัดเดิมทั้งหมดตามมาตรา 185 การฟ้องคดีเป็นการใช้สิทธิโจทก์ซึ่งจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดจึงได้รับสิทธิในการฟ้องคดีของบริษัทจำกัดเดิม โจทก์จึงไม่ต้องมอบอำนาจในการฟ้องคดีและแต่งทนายความใหม่การดำเนินกระบวนพิจารณาของโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน