คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 กำหนดให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา แต่ในขณะที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น จำเลยได้โอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจโอนให้แก่โจทก์ได้ อันเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุให้จำเลยต้องใช้ราคาที่ดินหากจำเลยไม่อาจโอนได้ แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 6 จะระบุว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ก็ไม่ได้หมายความว่าหากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินทั้งสิบแปลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ให้แก่โจทก์ได้จำเลยจะต้องชำระราคาที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินทั้งสิบแปลงมาชำระเป็นราคาที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ได้ หากจำเลยผิดสัญญาอย่างใด โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอากับจำเลยอีกต่างหาก

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2544 ระหว่างโจทก์และจำเลย ดังนี้
ข้อ 1 จำเลยยอมชำระเงินจำนวน 3,000,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยจะนำมาวางชำระไว้ต่อศาลชั้นต้นภายใน 60 วัน นับแต่วันนี้ คือวันที่ 20 มีนาคม 2544
ข้อ 2 จำเลยยอมจดทะเบียนโอนที่ดินดังต่อไปนี้ให้แก่โจทก์ทันที หากจำเลยไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา คือ ที่ดินดังต่อไปนี้
2.1 ที่ดินโฉนดเลขที่ 413 ตำบลบางเหี้ย (ที่ถูกเป็นตำบลบ้านระกาด อำเภอบางเหี้ย) จังหวัดสมุทรปราการ
2.2 ที่ดินโฉนดเลขที่ 7635 ตำบลสามวาตะวันตก อำเภอมีนบุรี จังหวัดกรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง
2.3 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3319 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.4 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3320 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.5 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3321 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.6 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่มที่ 2 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.7 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่มที่ 3 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.8 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 145 ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.9 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 578 ตำบลท้องเนียน อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช
2.10 ที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 169 ตำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ข้อ 3 จำเลยรับรองว่าที่ดินทุกแปลงข้างต้นปราศจากการจำนอง หากปรากฏว่าแปลงใดมีการจำนอง จำเลยยอมออกเงินชำระหนี้จำนองทั้งสิ้น
ข้อ 4 นอกจากเงินและที่ดินที่จำเลยยอมตกลงให้โจทก์ข้างต้นนี้แล้ว ไม่ว่ากรณีใด ๆ โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องสิ่งใด ๆ จากจำเลยอีก
ข้อ 5 โจทก์จำเลยยอมหย่าขาดจากกัน
ข้อ 6 หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใดจำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที
ข้อ 7 ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนยอมให้ตกเป็นพับทั้งสองฝ่าย
ศาลชั้นต้นสั่งคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์ 150,000 บาท
ต่อมาวันที่ 23 เมษายน 2544 โจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยมิได้นำเงิน 3,000,000 บาท มาวางศาลตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี ศาลออกหมายบังคับคดีให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ต่อมาวันที่ 4 กันยายน 2544 จำเลยนำเงิน 3,000,000 บาท มาวางศาลและในวันที่ 24 กันยายน 2544 จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีเพราะได้นำเงินมาวางต่อศาลแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลได้มีหมายแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบแล้วยกคำร้อง ต่อมาโจทก์ยื่นคำขอฉบับลงวันที่ 26 ตุลาคม 2544 อ้างว่า จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความเพียง 6 ข้อ ส่วนในข้อ 3 ที่ระบุว่าจำเลยรับรองว่าที่ดินทุกแปลงปราศจากการจำนองหากปรากฏว่าแปลงใดมีการจำนอง จำเลยยอมออกเงินชำระหนี้จำนองทั้งสิ้นนั้น จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตาม ศาลชั้นต้นนัดพร้อมในวันที่ 12 ธันวาคม 2544 ถึงวันนัดโจทก์แถลงต่อศาลว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.6 และข้อ2.7 นั้น ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เล่มที่ 2 และเล่มที่ 3 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยได้ขอรวมเปลี่ยนเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 9120 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช และที่ดินดังกล่าวติดจำนองธนาคาร โดยจำเลยไม่ยอมไถ่ถอนจำนอง โจทก์จึงไม่อาจรับโอนที่ดินแปลงดังกล่าวได้ ส่วนที่ดินตามข้อ 2.10 คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่169 ตำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี โจทก์ไม่สามารถที่จะรับโอนเป็นของโจทก์ได้ เนื่องจากจำเลยได้ขายไปก่อนที่จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความจึงแถลงให้ศาลทราบไว้ชั้นหนึ่งก่อน ศาลชั้นต้นพิเคราะห์เหตุผลแล้ว เห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า ที่ดินทุกแปลงที่โจทก์จะได้รับโอนตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะต้องปราศจากภาระจำนอง จึงมีคำสั่งให้จำเลยโอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.6 และข้อ 2.7 ให้โจทก์โดยปราศจากภาระจำนองภายใน 30 วัน นับแต่วันมีคำสั่ง หากจำเลยไม่ดำเนินการภายในเวลาที่กำหนด ให้โจทก์แถลงให้ศาลทราบ เพื่อดำเนินการบังคับคดีจำเลยต่อไป
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ข้อ 4 เป็นอุทธรณ์โดยอ้างเหตุตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา138 (2) ซึ่งจำเลยจะต้องอุทธรณ์ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาตามยอมตามมาตรา 229 คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2544 การที่จำเลยอุทธรณ์ในวันนี้ (วันที่ 7 มกราคม 2545) จึงเกินกว่ากำหนดเวลาดังกล่าว ไม่รับอุทธรณ์ ข้อ 4 สำหรับอุทธรณ์ ข้อ 5 ไม่เกี่ยวกับคำพิพากษาตามยอมจึงไม่รับ
วันที่ 17 มกราคม 2545 โจทก์ยื่นคำแถลงขอนัดพร้อมอ้างว่า จำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 169 ตำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากจำเลยได้ขายให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว ต่อมาวันที่ 24 มกราคม 2545 จำเลยยื่นคำร้องขอให้งดหรือถอนการบังคับคดี อ้างว่าคดีนี้หนี้ตามหมายบังคับคดีที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องรับผิดมีจำนวน 3,000,000 บาท ซึ่งจำเลยได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้แก่โจทก์แล้วเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2544 แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมงดหรือถอนการบังคับคดี โดยอ้างว่ายังไม่มีคำสั่งศาล ถึงวันนัดพร้อมโจทก์แถลงเพิ่มเติมว่าจำเลยยังไม่ไถ่ถอนจำนองที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.6 และ 2.7 คือ ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เล่มที่ 2 และที่ 3 ตำบลขนอม อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่จำเลยได้ขอรวมและเปลี่ยนเป็น น.ส. 3 ก. เลขที่ 9120
จำเลยแถลงขอให้ถอนการบังคับคดีที่ดินทั้งแปดแปลงที่โจทก์นำยึดไว้เพื่อชำระหนี้หนี้จำนอง 3,000,000 บาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความเนื่องจากจำเลยได้เงินจำนวนดังกล่าวมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงเพื่อให้โจทก์นำเงินที่ขายได้ไปชำระหนี้จำนองในที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.6 และ 2.7 แต่โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้นำเงินที่ขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงมาชำระแทนราคาที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งรับอุทธรณ์ข้อ 3 ของจำเลยที่ว่า จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยสำคัญผิด เพราะอุทธรณ์เกินกำหนด 1 เดือน นับแต่วันที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ส่วนอุทธรณ์ของโจทก์นั้นยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์จะขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินทั้งแปดแปลงนำเงินมาชำระราคาที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2544 โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วนั้น ในสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 กำหนดให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 169 ตำบลเขาหัวควาย อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้โจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาและในข้อ 6 กำหนดว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่งจำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันทีแต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันนั้น จำเลยได้โอนที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้ว จำเลยจึงไม่อาจโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ได้ อันเป็นการผิดสัญญาประนีประนอมยอมความที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ แต่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้กล่าวถึงให้จำเลยต้องใช้ราคาที่ดิน หากจำเลยไม่อาจโอนที่ดินให้โจทก์ได้ แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามข้อ 6 จะระบุว่า หากจำเลยผิดนัดไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง จำเลยยอมให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที ไม่ได้หมายความว่าหากจำเลยไม่สามารถโอนที่ดินทั้งสิบแปลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ซึ่งรวมถึงที่ดินพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 ด้วย ให้แก่โจทก์ได้ จำเลยจะต้องชำระราคาที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งขายทอดตลาดที่ดินทั้งสิบแปลงมาชำระเป็นราคาที่ดิน ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10ได้ หากจำเลยผิดสัญญาอย่างใด โจทก์จะต้องไปว่ากล่าวเอากับจำเลยอีกต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องเรื่องผิดสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2.10 มายื่นใหม่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยอายุความ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share