แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้เงินที่จำเลยกู้ไปจากโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของการให้กู้เงินในโครงการก่อสร้างโรงงานร่วมกับสถาบันการเงินอื่น โดยมีหลักทรัพย์และบุคคลค้ำประกันชุดเดียวกันในสัญญาฉบับเดียวกันก็ตาม แต่จำเลยกู้เงินจากโจทก์และผู้ให้กู้แต่ละรายมีกำหนดจำนวนเงินกู้ที่แน่นอน และแม้จะมีหลักประกันร่วมกันก็ถือว่าหนี้แต่ละรายมีเจ้าหนี้เพียงรายเดียว เมื่อจำเลยผิดสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากผู้ให้กู้รายอื่นก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ต่อมาได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัดแล้ว เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2532 จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์จำนวน 25,000,000 บาท กู้เงินบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด (มหาชน)จำนวน 74,350,000 บาท และกู้เงินบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เอเชีย จำกัด (มหาชน) จำนวน 49,350,000 บาท โดยทำสัญญากู้เงินให้ไว้เป็นฉบับเดียวกัน ยอมให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทเบิกเงินเกินบัญชีชั้นดีของธนาคารกรุงเทพ จำกัด บวกด้วยอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี ขณะทำสัญญาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ประเภทเบิกเงินเกินบัญชีมีอัตราร้อยละ 12 ต่อปี รวมเป็นอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 13.50 ต่อปี ตกลงชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันทำสัญญา หากผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด ยอมให้โจทก์เรียกหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดคืนได้ทันที และยอมให้โจทก์เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้โจทก์เรียกได้นับตั้งแต่วันผิดนัดเป็นต้นไป ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกให้ชำระหนี้ตามสัญญาทั้งหมดคืนได้ก่อนกำหนดในสัญญา ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 35,773,287.67 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ 3420,3421, 3424, 3448, 3869, 4358 และ 4430 ตำบลบางกระเจ้า อำเภอเมืองสมุทรสาคร (บ้านบ่อ) จังหวัดสมุทรสาคร และเครื่องจักรหมายเลขทะเบียน 0048 ถึง 0183, 0014 ถึง 0070 และ 0691 ถึง 0798กับทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำเลยทั้งห้าทำสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกันกับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สหธนกิจไทย จำกัด มิใช่ทำกับโจทก์ สัญญากู้เงินที่ทำไว้มีผู้ให้กู้อีก 2 ราย เป็นการทำสัญญากู้เงินแบบให้กู้ร่วมโดยมีผู้ให้กู้หลายราย การดำเนินการใด ๆ จะต้องให้ผู้ให้กู้ร่วมทุกรายให้ความยินยอม โจทก์ฟ้องคดีโดยใช้สิทธิของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์สหธนกิจไทย จำกัด แต่เพียงรายเดียวจึงไม่ชอบ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 35,773,287.67 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ของต้นเงิน 25,000,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2538 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโฉนดเลขที่ 3420, 3421, 3424, 3448, 3869, 4358 และ 4430 ตำบลบางกระเจ้าอำเภอเมืองสมุทรสาคร (บ้านบ่อ) จังหวัดสมุทรสาครและเครื่องจักรหมายเลขทะเบียน 0048 ถึง 0183, 0014 ถึง 0070 และ 0691 ถึง 0798 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน 25,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่า จะชำระเสร็จแก่โจทก์ ไม่บังคับจำนองเครื่องจักรหมายเลขทะเบียน 0767 และ 0792 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งห้าข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์จำนวน 25,000,000 บาท เป็นส่วนหนึ่งของการให้กู้เงินในโครงการก่อสร้างโรงงานร่วมกับสถาบันการเงินอื่น โดยมีหลักทรัพย์และบุคคลค้ำประกันชุดเดียวกันในสัญญาฉบับเดียวกัน จึงเป็นหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ โจทก์จะฟ้องคดีโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้กู้รายอื่นไม่ได้นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาสัญญากู้เงินตามเอกสารหมาย จ.26 แล้วแม้จำเลยที่ 1 จะกู้เงินโจทก์และผู้ให้กู้รายอื่นโดยทำสัญญากู้เงินฉบับเดียวกันก็ตามแต่จำเลยที่ 1 กู้เงินจากโจทก์และผู้ให้กู้แต่ละรายมีกำหนดจำนวนเงินกู้ที่แน่นอนแม้จะมีหลักประกันร่วมกันก็ถือว่าหนี้แต่ละรายมีเจ้าหนี้เพียงรายเดียว เมื่อจำเลยทั้งห้าผิดสัญญาในส่วนที่เกี่ยวกับโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน