คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4540/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยซึ่งเป็นพนักงานตำรวจได้ยึดเฮโรอีนเป็นของกลางจากคนร้ายแล้วจำเลยมิได้จับกุมหรือพันธนาการคนร้ายแต่ประการใดทั้งที่จำเลยมีกุญแจมือติดตัวอยู่จำเลยยืนอยู่กับคนร้ายซึ่งนั่งคร่อมบนที่นั่งคนขับรถจักรยานยนต์และติดเครื่องยนต์อยู่ ไม่มีลักษณะเป็นการจับกุมคนร้ายจำเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามคนร้ายเข้าไปในเขตอำนาจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอำนาจเจริญจำเลยก็มิได้แจ้งแก่นายดาบตำรวจอ.และท.ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวตะพานปฏิบัติหน้าที่ล้ำเขตอำนาจออกมา ทั้งขณะที่นายดาบตำรวจทั้งสองทำการตรวจค้นจำเลยยืนยันว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยได้มาจากชายคนที่นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ โดยบอกว่าจำเลยขอมาจากคนดังกล่าวเพื่อนำไปให้เด็กที่เลื่อยไม้ให้จำเลย ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังได้ว่าจำเลยมิได้จับกุมคนร้ายและยึดเฮโรอีนของกลางมาจากคนร้ายจำเลยเจตนามีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 1 ปี ปรับ 10,000 บาท ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 7,500 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกเห็นควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ว่าวันที่ 29 มีนาคม 2539เวลากลางวันเจ้าพนักงานตำรวจภูธรจังหวัดอำนาจเจริญจับกุมจำเลยซึ่งรับราชการตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ ความผิดข้อหามีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 1 หลอด น้ำหนัก 0.032 กรัม ที่ตำบลนาจิก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องและสมควรลงโทษจำคุกจำเลยระวางบทหนักหรือไม่ โจทก์มีนายดาบตำรวจอุดรและนายดาบตำรวจเทอดชัยเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าเห็นจำเลยยืนคุยอยู่กับชายคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งคนขับรถจักรยานยนต์คันหนึ่งซึ่งติดเครื่องอยู่นายดาบตำรวจอุดรจำได้ว่ารถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการจำหน่ายยาเสพติดนายดาบตำรวจเทอดชัยจำได้ว่าชายคนที่นั่งคร่อมบนที่นั่งคนขับรถจักรยานยนต์มีพฤติการณ์ค้ายาเสพติดจึงกลับรถย้อนไปที่เห็นจำเลยและชายคนดังกล่าว ก่อนรถไปถึงชายคนนั้นขับรถจักรยานยนต์หนีไป ส่วนจำเลยเดินลงไปข้างทาง เมื่อขอค้นตัวจำเลยยอมให้ตรวจค้นโดยดีนายดาบตำรวจอุดรพบเฮโรอีน 1 หลอด อยู่ในกระเป๋ากางเกงของจำเลยด้านขวานายดาบตำรวจเทอดชัยพบบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจในกระเป๋าเสื้อปรากฏว่าจำเลยมียศเป็นจ่าสิบตำรวจประจำอยู่สถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวตะพานจังหวัดอำนาจเจริญ และพบกุญแจมือชนิดที่เจ้าพนักงานตำรวจใช้ด้วย เห็นว่า ขณะจับกุมและตรวจค้นนายดาบตำรวจอุดรและนายดาบตำรวจเทอดชัยมิได้แต่งเครื่องแบบขณะปฏิบัติหน้าที่สายสืบขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนในเขตอำนาจของสถานีตำรวจภูธร อำเภอเมืองอำนาจเจริญไม่ปรากฏว่าเคยรู้จักจำเลยหรือเคยมีสาเหตุกับจำเลยมาก่อน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งรับราชการตำรวจทำหน้าที่สายสืบเช่นเดียวกับจำเลยเชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสองปากเบิกความไปตามความจริงไม่มีเจตนากลั่นแกล้งจำเลยให้ได้รับโทษทางอาญา จำเลยเบิกความว่าสายลับรายงานว่าคนร้ายไปติดต่อซื้อยาเสพติดที่บ้านเค็งใหญ่ ตำบลเค็งใหญ่ อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ แล้วเดินทางข้ามเขตเข้าไปในท้องที่ตำบลนาจิก อำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์ไปตามถนนสายบ้านเค็งใหญ่-บ้านนาจิก ข้ามเขตเข้าไปในท้องที่ตำบลนาจิก พบคนร้ายจึงจอดรถจักรยานยนต์ห่างคนร้าย 20 เมตรเข้าไปตรวจค้นและนำเฮโรอีนของกลางจากคนร้ายแล้วใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวาตั้งใจว่าจะซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของคนร้ายเอาคนร้ายไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ เมื่อนายดาบตำรวจทั้งสองแสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้ามา จำเลยก็ยอมให้ตรวจค้นโดยดีและจำเลยแจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเช่นกัน ขณะนั้นคนร้ายที่จำเลยจับกุมได้ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปคดีมีปัญหาว่าเฮโรอีนของกลางที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงจำเลยเป็นเฮโรอีนที่จำเลยเจตนายึดเป็นของกลางมาจากคนร้าย หรือเป็นเฮโรอีนที่จำเลยเจตนามีไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เห็นว่า เมื่อจำเลยยึดเฮโรอีนเป็นของกลางจากคนร้ายจำเลยก็มิได้จับกุมหรือพันธนาการคนร้ายแต่ประการใดทั้งที่จำเลยมีกุญแจมือติดตัวอยู่ จำเลยยืนอยู่กับคนร้ายซึ่งนั่งคร่อมบนที่นั่งคนขับรถจักรยานยนต์และติดเครื่องยนต์อยู่ ไม่มีลักษณะเป็นการจับกุมคนร้ายดังจำเลยอ้าง จำเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามคนร้ายเข้าไปในเขตอำนาจสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองอำนาจเจริญ จังหวัดอำนาจเจริญ จำเลยก็มิได้แจ้งแก่นายดาบตำรวจทั้งสองในท้องที่ที่เข้ามาแสดงตนว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอหัวตะพานปฏิบัติหน้าที่ล้ำเขตอำนาจออกมานายดาบตำรวจอุดรเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะตรวจค้นจำเลยยืนยันว่าเฮโรอีนของกลางจำเลยได้มาจากชายคนที่นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ โดยบอกว่าจำเลยขอมาจากคนดังกล่าวเพื่อนำไปให้เด็กที่เลื่อยไม้ให้จำเลย ตามพฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐานโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมิได้จับกุมคนร้ายและยึดเฮโรอีนของกลางมาจากคนร้ายจำเลยเจตนามีเฮโรอีนของกลางตามเอกสารหมาย จ.1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และของกลางดังกล่าวมีจำนวนเล็กน้อยโดยหมดไปในการตรวจพิสูจน์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับฟังว่าเฮโรอีนของกลางเป็นเฮโรอีนที่จำเลยยึดมาจากคนร้ายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจฟังลงโทษและกำหนดโทษจำเลยชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share