แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การเอาทรัพย์สินมาลงหุ้นของโจทก์และจำเลยนั้นมิได้เอาทรัพย์สินมาเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วน เป็นแต่เพียงเอามาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วน จำเลยและโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทซึ่ง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1361 วรรคหนึ่ง เจ้าของรวมแต่ละคนสามารถจำหน่ายส่วนของตนหรือจำนองหรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้ ฉะนั้นการที่จำเลยจำหน่ายกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยจำหน่ายเฉพาะส่วนของตน จึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทั้งไม่อาจถือได้ว่าเป็นการชักนำบุคคลอื่นเข้ามาเป็นหุ้นส่วนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน เพราะการเป็นหุ้นส่วนต้องเกิดขึ้นโดยความตกลงระหว่าง ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน เมื่อโจทก์ยังมิได้ตกลงให้ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของจำเลย เข้ามาเป็นหุ้นส่วน ผู้รับโอนก็หากลายมาเป็นหุ้นส่วนไม่ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการผิดสัญญาหุ้นส่วน
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความทำนองเดียวกันขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๓๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จในสำนวนแรก และชดใช้เงินจำนวน ๓,๓๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จในสำนวนที่สองแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีสำนวนแรก (คดีหมายเลขดำที่ ๒๕๓๖/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้น) ส่วนในคดีสำนวนที่สอง (คดีหมายเลขดำที่ ๒๕๓๗/๒๕๓๕ ของศาลชั้นต้น) ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง ( ฟ้องวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินในคดีสำนวนที่สอง (คดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๖๔๕/๒๕๓๙ ของศาลชั้นต้น) จำนวน ๑,๕๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกา พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองได้เข้าหุ้นกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๙๓๕ และ ๒๒๙๓๖ ตำบลสามเสนใน (บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร และก่อสร้างอาคารแฟลต ๕ ชั้น ๑ หลัง ๓ ชั้น ๑ หลัง พร้อมสระว่ายน้ำ ร้านค้าและสนามเทนนิสเพื่อให้เช่าและนำกำไรมาแบ่งปันกัน ต่อมาจำเลยทั้งสองได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของจำเลยทั้งสองให้แก่บุคลภายนอก มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในสำนวนแรกว่า การที่จำเลยทั้งสองโอนขายกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนของตนในที่ดิน โฉนดเลขที่ ๒๒๙๓๕ พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลภายนอกเป็นการผิดสัญญาหุ้นส่วนระหว่างจำเลยทั้งสองกับโจทก์อันเป็นการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เห็นว่า การเอาทรัพย์สินมาลงหุ้นของโจทก์และจำเลยทั้งสองนั้นมิได้เอาทรัพย์ มาเป็นกรรมสิทธิ์ของห้างหุ้นส่วนเป็นแต่เพียงเอามาให้ในกิจการของห้างหุ้นส่วน จำเลยทั้งสองและโจทก์จึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๒๙๓๕ พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้อง ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ” เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตนหรือจำนองหรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้” การที่จำเลยทั้งสองจำหน่ายกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยจำหน่ายเฉพาะส่วนของตน จึงเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติข้างต้น จำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิกระทำได้ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทั้งการกระทำดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าเป็นการชักนำบุคคลอื่นเข้ามาเป็นหุ้นส่วนโดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน เพราะการเป็นหุ้นส่วนต้องเกิดขึ้นโดยความตกลงระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน เมื่อโจทก์ยังมิได้ตกลงให้ผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนของจำเลยทั้งสอง เข้ามาเป็นหุ้นส่วน ผู้รับโอนก็หากลายเป็นหุ้นส่วนไม่ ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการผิดสัญญาหุ้นส่วนและไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ฎีกาโจทก์สำนวนแรกฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน .