แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลและส่งคำฟ้องให้จำเลยแล้ว จำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีทุกประเด็น ได้มีการชี้สองสถานและศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาโดยตลอดจนกระทั่ง มีคำพิพากษา จำเลยไม่เคยโต้แย้งเรื่องเขตอำนาจศาล ถือว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้นแล้ว จำเลยจะยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแต่งตั้งให้โจทก์เป็นนายหน้าขายที่ดินโดยตกลงให้ค่านายหน้าร้อยละ ๕ ของราคาที่ขายได้ ต่อมาจำเลยได้ขายที่ดินดังกล่าวไปโดยการชี้ช่องของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะได้รับค่านายหน้าจากจำเลย แต่จำเลยไม่ยอมให้ จึงขอให้ศาลพิพากษาบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้แต่งตั้งโจทก์เป็นนายหน้า โจทก์ไม่เคยชี้ช่องให้จำเลยขายที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่านายหน้า ๓๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้เพราะคดีอยู่นอกเขตอำนาจ และเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งมาแต่แรกก็มีสิทธิยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ยังศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาในเขตศาล
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลนั้นเห็นว่าคดีเรื่องนี้เมื่อโจทก์ฟ้องต่อศาลและส่งคำฟ้องให้จำเลยแล้วจำเลยได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีทุกประเด็น ได้มีการชี้สองสถานและศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณามาโดยตลอดจนกระทั่งมีคำพิพากษา จำเลยไม่เคยโต้แย้งคัดค้านเรื่องเขตอำนาจศาล ถือว่าเป็นการให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้นแล้ว จำเลยจะยกปัญหาเรื่องเขตอำนาจศาลขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์หาได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีไปยื่นฟ้องใหม่ยังศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยและศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังว่าโจทก์เป็นนายหน้าหรือช่วยชี้ช่องในการทำสัญญาขายที่ดินของจำเลย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์