คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 101/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ และตามคำสั่งของป่าไม้เขต ที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัด ประทับตราอนุญาตชักลากไม้ จำเลยจะต้องทำบัญชีอนุญาต ชักลากไม้ด้วย ดังนั้น การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบูรณ์ การทำบัญชีอนุญาต ชักลากไม้เป็นเท็จกับการประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบจึงเป็นกรรมเดียวกันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาต ชักลากไม้ก่อนแล้วจึงทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ ก็หาทำให้ การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 160,162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษ จำเลยฐานทำไม้ใน เขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยว่าการกระทำ ของจำเลยตามมาตรา 160,162 เป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160,162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่ง เป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ ถือไม่ได้ว่าโจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลย หนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ลงโทษ จำคุกจำเลย กระทงเดียว 10 ปี เป็นการพิพากษา เพิ่มเติม โทษจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน คือตัดฟันไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ประทับตราอนุญาตชักลากไม้โดยมิชอบทำบัญชีขนาดจำนวนไม้เป็นเท็จ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯลฯ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 160, 162, 91 และริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157 ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ริบของกลาง ข้อหานอกจากนี้ให้ยกฟ้อง

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การใช้รอยตราโดยมิชอบและการทำเอกสารเท็จของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี

โจทก์จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังนี้

ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่จำเลยประทับตราอนุญาตชักลากไม้กับการทำบัญชีอนุญาตชักลากเป็นการกระทำผิดสองกรรมนั้น เห็นว่า ระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก็ดี ตามคำสั่งของป่าไม้เขตที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก็ดี จำเลยต้องทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้ด้วย ฉะนั้น การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้องตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบูรณ์นั่นเอง การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นกรรมเดียวกัน เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก่อนแล้วจึงทำบัญชี ก็หาทำให้การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่

ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 5 ปี โจทก์มิได้อุทธรณ์ให้ลงโทษหนักขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมเดียวจะลงโทษจำคุกจำเลยเกินกว่า 5 ปีมิได้ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160,162 แต่ละกรรมเป็นความผิดตามมาตรา 157 ด้วย ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการใช้รอยตราโดยมิชอบและการทำเอกสารเท็จเป็นความผิดกรรมเดียวกัน พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 160, 162 และ 157 ให้ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด จำคุก 10 ปี ดังนี้ถือไม่ได้ว่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 10 ปี เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย เพราะเป็นการเพิ่มจากจำคุกกระทงละ 5 ปี เป็นกระทงเดียว 10 ปี ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลย 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share