แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำเบิกความของพยานโจทก์ไม่สามารถยืนยันว่าจำเลยได้รับไว้ซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักมาอย่างไรและจำเลยทราบหรือไม่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการลักทรัพย์พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่สามารถฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรับของโจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่15มิถุนายน2535เวลากลางคืนหลังเที่ยงมีคนร้ายลักเอาทรัพย์ต่างๆรวม8รายการเป็นเงินทั้งสิ้น11,409บาทของนาย วรวิทย์เมืองโคตร ผู้เสียหายโดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การพาทรัพย์นั้นไปเหตุเกิดที่ตำบล ตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตต่อมาวันที่25กรกฎาคม2535เวลากลางวันเจ้าพนักงานจับจำเลยและนาย แก้วประเสริฐเบิดศรี บุตรของจำเลยได้ในคดีอื่นพร้อมด้วยทรัพย์บางส่วนของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปเป็นของกลางทั้งนี้ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหายหรือมิฉะนั้นระหว่างวันเวลาเกิดเหตุจนถึงวันที่25กรกฎาคม2535เวลากลางวันจำเลยกับพวกร่วมกันรับเอาไว้พาเอาไปเสียช่วยซ่อนเร้นซึ่งทรัพย์ของกลางรวมราคา11,334บาทของผู้เสียหายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เหตุรับของโจรเกิดที่ตำบล ศรีสุนทรอำเภอถลางและตำบล ตลาดใหญ่อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ตเกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา83,335,357,336ทวิให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน75บาทแก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่3671/2535คดีอาญาหมายเลขดำที่286/2536และ288/2536ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธแต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำแถลงว่าจำเลยถูกศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่3671/2535,3593/2536,3649/2536และ3787/2536ขอให้นับโทษจำเลยคดีต่อจากโทษในคดีอาญาดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา357(ที่ถูกคือมาตรา357วรรคแรก)จำคุก1ปีนับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่3671/2535,3593/2536,3649/2536และ3787/2536ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์75บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค3พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายพันตำรวจตรี อรุณ และร้อยตำรวจเอก ภานุพันธ์เป็นพยานแต่ผู้เสียหายและร้อยตำรวจเอก ภานุพันธ์ ต่างไม่ทราบตัวคนร้ายและพฤติการณ์การรับของโจรของจำเลยโดยพันตำรวจตรี อรุณเบิกความว่าทราบว่าที่บ้านจำเลยมีรถจักรยานยนต์ผิดกฎหมายจึงไปตรวจค้นได้พบกระเป๋าเจมส์บอนของผู้เสียหายด้วยนาย แก้วประเสริฐรับสารภาพว่าเป็นผู้ลักมาส่วนจำเลยให้การปฏิเสธร้อยตำรวจเอกภานุพันธ์เบิกความว่ากระเป๋าเจมส์บอนยังไม่ได้เปิดจากการสอบสวนได้ความว่าพบกระเป๋าดังกล่าวในห้องนอนของนาย แก้วประเสริฐเห็นว่าตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวไม่สามารถยืนยันได้ว่าจำเลยได้รับไว้ซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักมาอย่างไรและจำเลยทราบหรือไม่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ที่จับกุมจำเลยมาเพราะพบของกลางดังกล่าวที่บ้านจำเลยซึ่งมีบุตรและภรรยาอาศัยอยู่ด้วยและนาย แก้วประเสริฐบุตรจำเลยคนหนึ่งลักทรัพย์ของกลางมาเก็บไว้ในบ้านเท่านั้นพยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบจึงไม่สามารถฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรับของโจรที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยโดยพิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน