แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ทนายความจ่ายเงินส่วนได้ของลูกความที่ตนรับมาจากศาลให้แก่ลูกความนั้น ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ฉะนั้นแม้ตัวความจะไม่ได้ออกใบรับเงินให้ ทนายก็นำสืบพยานบุคคลได้
โจทก์ฟ้องตั้งทุนทรัพย์ 900 บาทเศษ จำเลยกลับฟ้องแย้งให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลย 1800 บาทเศษ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย คู่ความก็ย่อมจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นทนายความว่าต่างโจทก์ แล้วจำเลยรับเงินส่วนแบ่งและค่าธรรมเนียม ซึ่งศาลพิพากษาให้โจทก์ ไปจากศาลแทนโจทก์แล้วไม่ส่งมอบแก่โจทก์ จึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้ว่า ได้จ่ายเงินให้โจทก์แล้ว และฟ้องแย้งเรียกเงินจากโจทก์อีก 1,805 บาท 46 สตางค์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน 1,329 บาท46 สตางค์ให้แก่จำเลย ฯลฯ
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้โจทก์ใช้เงิน 1,505 บาท 46 สตางค์แก่จำเลย ฯลฯ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีเรื่องนี้ โจทก์ฟ้องตั้งทุนทรัพย์เรียกเงินจากจำเลย 976 บาท 04 สตางค์ จำเลยกลับฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์ใช้เงินให้จำเลย 1,805 บาท 46 สตางค์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้เงินให้จำเลยตามฟ้องแย้ง 1,329 บาท 46 สตางค์ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่แก้ให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลย 1,505 บาท 46 สตางค์ ฯลฯ จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้
ส่วนฎีกาข้อที่ว่า การรับจ่ายเงินโดยไม่มีหลักฐานการรับเงินเป็นหนังสือ ศาลรับฟังไม่ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ทนายจ่ายเงินส่วนได้ของลูกความที่ตนรับมาจากศาลให้แก่ลูกความนั้น ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นตัวหนังสือ ดังนั้น จึงรับฟังคำพยานบุคคลได้ ดัง ศาลฎีกาเคยวินิจฉัยไว้แล้วในฎีกาที่ 282/2482 ฯลฯ
จึงพิพากษายืน